
ประเภทของรองเท้าฟุตบอล ::
รองเท้าฟุตบอลในปัจจุบัน มีด้วยกันหลากหลายรุ่นมากมาย โดยในแต่ละรุ่นก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่อง
รูปลักษณ์ สีสัน วัสดุที่ใช้ในการผลิต เทคโนโลยี ความสามารถ โดยแบ่งออกเป็นประเภท ตามคุณสมบัติได้ดังนี้
รูปลักษณ์ สีสัน วัสดุที่ใช้ในการผลิต เทคโนโลยี ความสามารถ โดยแบ่งออกเป็นประเภท ตามคุณสมบัติได้ดังนี้
- SPEED / รองเท้าประเภทนี้จะมีน้ำหนักตัวที่เบา มีเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มเร็ว ความว่องไว ปราดเปรียว
ความแม่นยำในการเคลื่อนที่ การยึดเกาะกับพื้นสนาม เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมความเร็ว อยากวิ่งเร็วขึ้น
รองเท้าประเภทนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน
นักเตะที่ใช้ :: C.Ronaldo, Messi, G.Bale, Suarez, Robben, Hazard, Walcott เป็นต้น SPEED / รองเท้าประเภทนี้จะมีน้ำหนักตัวที่เบา มีเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มเร็ว ความว่องไว ปราดเปรียว
ความแม่นยำในการเคลื่อนที่ การยึดเกาะกับพื้นสนาม เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมความเร็ว อยากวิ่งเร็วขึ้น
รองเท้าประเภทนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน
รองเท้าฟุตบอล Nike GS หรือ Nike GreenSpeed รองเท้าที่มีน้ำหนักเบาที่สุดของ nike น้ำหนักเพียง 160 กรัม ซึ่งท้าทายเจ้าของรองเท้าสาย speed อย่าง adiZero และ Puma v1.11 SL
นักออกแบบเน้นการออกแบบรองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนักให้เบาและความมีเร็วสูง โดยตัดองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออก
นอกจากรองเท้าฟุตบอล Nike GS จะน้ำหนักเบาแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและใช้พลังงานทดแทนในการผลิต โดยวัสดุหลักของรองเท้าเป็นหนังสังเคราะห์ชนิดใหม่ผลิตจาก Pebax Renu 50% และ castor beans 97% ตอบสนองสัมผัสและนุ่มเหมือนหนังจิงโจ้ ปุ่มและพื้นรองเท้าทำจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลจากขวดพลาสติก 95 % ขบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนลดลง 35 % แต่ยังคงความแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น
รองเท้าฟุตบอล Nike GS จะถูกสวมใส่โดย Neymar นักฟุตลบอลทีมชาติบราซิล ที่โอลิมปิคลอนดอน 2012
รองเท้าฟุตบอล Nike GS จะผลิตเพียง 2012 คู่ เริ่มจำหน่ายวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ในราคา £ 250 GBP / USD $ 300
- CONTROL / เป็นรองเท้าที่เก่งรอบด้าน เน้นการควบคุมและสัมผัสกับลูกฟุตบอลเป็นหลัก เช่น การจับบอล
การผ่านบอล การครองบอล โดยมีจุดเด่นคือมีเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ช่วยในการเล่นอย่างมีประสิทธิภาพ
นักเตะที่ใช้ :: Iniesta, J.Wilshere, S.Busquet, Xavi, Mata, Oscar, Gerrard เป็นต้น CONTROL / เป็นรองเท้าที่เก่งรอบด้าน เน้นการควบคุมและสัมผัสกับลูกฟุตบอลเป็นหลัก เช่น การจับบอล
การผ่านบอล การครองบอล โดยมีจุดเด่นคือมีเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ช่วยในการเล่นอย่างมีประสิทธิภาพ
นักเตะที่ใช้ :: Iniesta, J.Wilshere, S.Busquet, Xavi, Mata, Oscar, Gerrard เป็นต้น
รองเท้าฟุตบอลระดับรองท็อปในซีรี่ย์รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรล ไนกี้
ยังคงใช้ชื่อต่อเนื่องมาตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรกว่า "Trequartista" ซึ่งเป็นภาษาอิตาเลี่ยน
ที่มีความหมายว่า "โจมตี" พอในเจเนอเรชั่นที่ 3 นี้ ทำให้รองเท้ารุ่นนี้ถูกตั้งชื่อเต็มๆ
อย่างเป็นทางการเอาไว้ว่า CTR 360 Trequartista III
CTR 360 Trequartista III กลับมาเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับรองท็อปที่มีคุ้มค่า
น่าใช้อีกครั้ง หลังจากที่เจเนอเรชั่นที่แล้ว ดูจะไม่คุ้มค่ามากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับ
เจเนอเรชั่นแรกสุด โดยในเจเนอเรชั่นที่ 3 นี้ หนัง "แคงกาไลท์" (Kanga-Lite)
ที่ปกติไนกี้ใช้เฉพาะกับรองเท้าฟุตบอลระดับท็อป ได้ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุหน้าผ้า
และตัวรองเท้า ในรองเท้าระดับรองท็อปเป็นครั้งแรก !!! ทำให้หน้าผ้าและตัวรองเท้า
ของ CTR 360 Trequartista III รุ่นนี้มีหน้าสัมผัสที่นุ่มเท้าเป็นอย่างมาก ในขณะ
ที่พื้นที่สัมผัสบอลบริเวณหลังเท้า ก็มีการพิมพ์รอยปุ๋ม เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสและ
ควบคุมบอล
ในเรื่องจุดขาย ก็คือแถบยางสัมผัสข้างเท้าด้านใน ที่เรียกว่า "แถบยางรับบอล"
(Receive Pad) และ "แถบยางส่งบอล"(Instep Pad) ของรองเท้ารุ่นนี้ ดูเผินๆ
เหมือนว่าไนกี้จะจัดมาให้เต็มที่ แต่จริงๆ แล้ว รายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างไป
จากรุ่นท็อปนิดหน่อย โดยแถบยางของ CTR 360 Trequartista III รุ่นนี้ จะเป็น
ยางเนื้อแข็ง และมีมิติสัมผัสที่ตื้นกว่านิดหน่อย ภายใต้พื้นที่สัมผัสลักษณะตั้งชัน
ให้การสัมผัสบอลที่เต็มเท้ามากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม...เทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ที่ช่วยทำให้รองเท้า
สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศไม่ว่าจะเปียกชื้นหรือแห้ง ซึ่งมีอยู่ในรุ่นท็อปนั้น
จะไม่มีให้ใช้งานใน CTR 360 Trequartista III รุ่นนี้
อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างจากรุ่นท็อป ก็คือส่วนของหุ้มส้นและชุดแผ่นรองพื้นด้านใน
โดยหุ้นส้นด้านในของ CTR 360 Trequartista III จะเป็นหน้าผ้าสัมผัสแบบหนัง
สังเคราะห์ปกติทั่วไป ผิวหน้าไม่ฝืดนัก แต่มีฟองน้ำบรรจุเอาไว้ด้านใน ให้ความนุ่ม
และกระชับกับข้อเท้าได้ดีในระดับที่น่าพอใจ ในขณะที่แผ่นรองพื้น จะสามารถถอด
ออกมาได้ ผลิตจาก EVA โฟม ไม่มีการเสริมรายละเอียดหรือเทคโนโลยีระบบช่วย
รองรับแรงกระแทกแต่อย่างใด ผิวหน้าสัมผัสด้านบน จะเป็นลักษณะเส้นใยไนล่อน
ไม่มีการเคลือบผิวเพื่อสร้างความฝืดแต่อย่างใด
ชุดพื้นและปุ่มนอกแบบ FG ไนกี้เอาพลาสติก TPU มาฉีดขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน
ทั้งหมด โดยส่วนของปุ่มทั้งด้านหน้าและหลัง จะมีการฉีดครอบปุ่มอีกชั้นหนึ่งด้วย
เฉดสีที่แตกต่างจากชุดพื้น ดูแล้วน่าจะมีความแข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก รูปแบบปุ่มแบบใหม่ ปุ่มจะยาวกว่าเดิมเล็กน้อย จำนวนปุ่มน้อยลง หน้าตัดแคบ
จะให้การยึดเกาะกับพื้นสนามได้ดียิ่งขึ้น
เกราะป้องกันส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายเป็นแบบภายใน (Internal Heel Counter)
ฝังเข้ารูปกับตัวรองเท้า ให้การป้องกันในระดับที่น่าพอใจ
น้ำหนักตัวรองเท้าของ CTR 360 Trequartista III นั้นอยู่ที่พิกัด 266.5 กรัม
แม้จะเป็นพิกัดที่เท่ากับเจเนอเรชั่นที่แล้ว แต่ถ้าเทียบในเจเนอเรชั่นนี้แล้ว ทำให้
รองเท้ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่มีน้ำหนักตัวสูงที่สุดในซีรี่ย์เลยทีเดียว
ราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ของ CTR 360 Trequartista III นั้น ไนกี้
ติดป้ายราคาเอาไว้ที่ 3,900 บาท เท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่มีของแถมใดๆ
ข้อมูลทั่วไป
ระดับรองเท้า : Medium
วัสดุหลักบนตัวรองเท้า : หนังสังเคราะห์เลียนแบบหนังจิงโจ้ (Kanga-Lite Leather)
ลักษณะเกราะกันส้นเท้า : ภายใน (Internal Heel Counter)
วัสดุพื้นรองด้านใน : EVA Foam
การถอดพื้นรองด้านใน : ถอดได้
วัสดุที่ใช้ทำปุ่ม : PU
ลักษณะปุ่มแบบ FG : ปุ่มใบมีด
น้ำหนักโดยประมาณ : 266.5 กรัม
จุดเด่นโดยรวม : หนังสังเคราะห์ Kanga-Lite ครั้งแรกกับรองเท้าระดับกลาง
ราคา : 3,900 บาท
… - TOUCH / เป็นรองเท้าฟุตบอลที่มีรูปทรงสวยงาม สไตล์คลาสสิคที่ดูทันสมัย เน้นสัมผัสความนุ่มของหนังแท้
สวมใส่สบายและให้ความกระชับในระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีรสนิยมที่ชื่นชอบความโมเดิร์นแบบคลาสสิค
นักเตะที่ใช้ :: Lampard, P.Lahm, G.Barry, Pirlo, Lucus, Pique, Ramos เป็นต้นTOUCH / เป็นรองเท้าฟุตบอลที่มีรูปทรงสวยงาม สไตล์คลาสสิคที่ดูทันสมัย เน้นสัมผัสความนุ่มของหนังแท้
สวมใส่สบายและให้ความกระชับในระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีรสนิยมที่ชื่นชอบความโมเดิร์นแบบคลาสสิค
นักเตะที่ใช้ :: Lampard, P.Lahm, G.Barry, Pirlo, Lucus, Pique, Ramos เป็นต้น
รองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสในซีรี่ย์ความเร็วจากไนกี้ รุ่นล่าสุด Mercurial Vapor X ดูจะกลายเป็นพระรอง
ในการทำตลาด แต่ในบทความ "เปิดฝากล่อง" บทความนี้ SiamBoots จะพาตัวรองเท้ารุ่นนี้มารับบทเป็นพระเอก
พร้อมเปิดฝากล่อง แนะนำตัว และนำเสนอเทคโนโลยีที่ไนกี้บรรจุมาให้ทั้งหมด เพื่อลบคำสมประมาทของเรื่อง
หน้าตาภายนอก ที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเหมือนรองเท้าระดับรองท็อปมากเกินไป
คำถามที่ผมได้ยินมาบ่อยที่สุด จากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายท่าน คือ ทำไม!? ไนกี้ถึงออกแบบ Mercurial Vapor X
ซึ่งเป็นรองเท้าระดับท็อปคลาส ให้มีรูปร่างหน้าตาและวัสดุภายนอก เหมือนกันกับMercurial Veloce II จนแทบ
แยกแยะไม่ออก และเป็นประเด็นการแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางที่บอกว่า แบบนี้ไปซื้อรองเท้ารุ่นท็อปดีกว่าไหม
เพราะหลายๆ อย่างมันเหมือนกันซะขนาดนั้น
คำตอบที่จะสามารถไขประเด็นดังกล่าวได้อย่างสมเหตุสมผล คงจะหนีไม่พ้นรายละเอียดเชิงลึก ว่าไนกี้ใช้
วัสดุอะไรมาผลิตและประกอบเป็นส่วนต่างๆ ของตัวรองเท้า รวมถึงลูกเล่นหรือเทคโนโลยีที่ไนกี้บรรจุมาให้นั้น
สมควรที่จะทำให้ Mercurial Vapor X ยังคงอยู่ในฐานะรองเท้าฟุตบอลระดับแนวหน้าของวงการรองเท้าฟุตบอล
ดั่งเช่นเจเนอเรชั่นที่ผ่านมาหรือไม่
โดยรองเท้าที่เราได้รับการสนับสนุนมาจาก บริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด คู่นี้ พร้อมจะให้คุณผู้อ่านทุกท่าน
ได้ยลโฉม เพื่อเปลี่ยนความคิดและลบคำสบประมาทที่เกิดขึ้น !!
ไนกี้พัฒนาหนังสังเคราะห์เทจิน ไมโครไฟเบอร์ (Tejin Microfiber) ที่เอามาตัดเย็บเป็นตัวรองเท้ารุ่นนี้
ให้มีประสิทธิภาพในด้านการสัมผัสควบคุมลูกฟุตบอลมากขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นก่อน โดยเปลี่ยนจากผิวลูกกอล์ฟ
มาเป็นสิ่งที่เรียกว่า "Micro-Texture" ซึ่งการออกแบบให้หน้าสัมผัสรอบตัวรองเท้า มีพื้นผิวขรุขระขนาดเล็ก
และมีความฝืด เพื่อช่วยสร้างแรงเสียดทานกับผิวของลูกฟุตบอลได้ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ซึ่งเป็นสารเคลือบผิวชนิดพิเศษ ที่จะช่วยให้หน้าสัมผัสของ
รองเท้ารุ่นนี้ ยังคงมีประสิทธิภาพในการดึงดูดและควบคุมลูกฟุตบอลได้ดี ทั้งในสภาวะที่เปียกน้ำหรือแห่งสนิท
ถูกเคลือบลงบนผิวหน้าสัมผัสของรองเท้ารุ่นนี้ ในทุกๆ ด้าน ทุกๆ บริเวณ เพื่อทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุม
ลูกฟุตบอลได้ดีในทุกสภาพอากาศ โดยเทคโนโลยี ACC ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญ ที่ไนกี้ใส่มาให้
เฉพาะรองเท้าระดับท็อปคลาส ขึ้นไปเท่านั้น
อีกหนึ่งจุดสังเกตสำคัญของ ไนกี้ Mercurial Vapor X คือรองเท้ารุ่นนี้ "ไม่มีลิ้น" โดยใช้วัสดุหนังสังเคราะห์
ผิวเรียบและบาง แบบเดียวกับตัวรองเท้าเย็บติดต่อเนื่องขึ้นมา เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน
กับตัวรองเท้าเลย ลักษณะหนังส่วนดังกล่าวนั้นจะถูกออกแบบให้หย่อน แต่เมื่อผู้เล่นสวมเท้าเข้าไปแล้ว หนังจะตึง
เรียบเข้ารูป และพอดีกับหลังเท้าของผู้สวมใส่พอดิบพอดี
เชือกรองเท้าที่ร้อยติดตัวรองเท้ารุ่นนี้มา เป็นเชือกแบบเส้นแบน เพื่อให้รบกวนการสัมผัสบอลบริเวณหลังเท้า
ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดเส้นเชือกเป็นเชือกหน้าแคบ เส้นเล็ก และเนื้อผ้านิ่มมากที่สุดในบรรดาเชือก
รองเท้าของไนกี้เลยก็ว่าได้ ทำให้การผูกปมเชือกรองเท้า สามารถทำได้อย่างกระชับและแน่นหนา
ชุดพื้นและช่วงล่างของรองเท้า Mercurial Vapor X ดูจะเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด เพราะ
นอกจากไนกี้จะตัดสินใจไม่ใช้วัสดุไฟเบอร์กลาส ซึ่งเป็นวัสดุที่ดูภายนอกแล้วสวยงามและดูดีมากแล้ว ยังได้
ทำออกมาให้มันมีรูปร่างหน้าตาและสี ซึ่งดูด้อยลงกว่าชุดพื้นสีเงินจากไฟเบอร์กลาสเป็นอย่างมาก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว วัสดุที่ไนกี้เอามาทำชุดพื้นให้กับรองเท้ารุ่นนี้ เป็นวัสดุไนล่อน (Nylon) กับพีแบค (Pebax) อัดขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันแบบเต็มแผ่น โดยคุณสมบัติเด่นของวัสดุชนิดนี้ คือ เป็นวัสดุที่มีความแข็ง
มีน้ำหนักเบา สามารถออกแบบให้บางมากๆ ได้โดยที่ยังคงมีความเหนียวและทนทาน ซึ่งทางไนกี้ได้ยืนยันว่า
วัสดุชิ้นนี้ การออกแบบมาแบบนี้ เป็นการพัฒนารองเท้ารุ่นนี้ให้มีประสิทธิภาพด้านความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
… - ATTACK / เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เน้นการโจมตี เหมาะสำหรับกองหน้าหรือเพลย์เมคเกอร์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม
ความคล่องแคล่ว การเคลื่อนที่ ถือว่าเป็นรองเท้าที่มีอาวุธครบเครื่องที่เหมาะกับการเล่นเกมส์รุก
นักเตะที่ใช้ :: Neymar, Rooney, Lawandowski, Isco, Sturridge เป็นต้นATTACK / เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เน้นการโจมตี เหมาะสำหรับกองหน้าหรือเพลย์เมคเกอร์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม
ความคล่องแคล่ว การเคลื่อนที่ ถือว่าเป็นรองเท้าที่มีอาวุธครบเครื่องที่เหมาะกับการเล่นเกมส์รุก
นักเตะที่ใช้ :: Neymar, Rooney, Lawandowski, Isco, Sturridge เป็นต้น
ไม่รู้ว่ารองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus จะเกิดอาการน้อยใจไปบ้างหรือเปล่า เพราะไนกี้เน้นโปรโมท
รองเท้าระดับโครตท็อปอย่าง Magista Obra ที่ใช้วัสดุฟลายนิตเป็นหลัก จนอาจทำให้หลายคนลืมนึกถึงรองเท้า
รุ่นท็อปปกติรุ่นนี้ไปแล้ว แต่วันนี้ SiamBoots ขอสวนกระแสด้วยการพารองเท้ารุ่นดังกล่าว มาเปิดฝากล่อง
แนะนำตัวและสำรวจส่วนต่างๆ ของรองเท้ารุ่นนี้อย่างละเอียด เพราะในฐานะรองเท้าระดับนี้...ยังไงก็ต้อง
อัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีและลูกเล่นอย่างเต็มที่แน่นอน
ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "Magista" รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ใหม่ล่าสุดจากไนกี้อย่างแน่นอน เพราะนอกเหนือ
จากตัวรองเท้าที่ผลิกโฉมนวัตกรรมรองเท้าฟุตบอลแล้ว ไนกี้ยังทุ่มทุนจัดกิจกรรมเพราะโปรโมทรองเท้ารุ่นนี้
อย่างหนักหน่วง รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ Magista ถูกเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2014 ที่ผ่านมา ภายใต้นิยามสั้นๆ ว่า
"Create Attack" โดยมีมัสคอตประจำซี่รี่ยเป็น "แมงมุม" เพื่อสื่อถึงรองเท้ารุ่น Magista Obra ที่นำเอาเทค-
โนโลยีวัสดุฟลายนิต มาถักทอเป็นตัวรองเท้านั่นเอง
แต่นั่นก็เป็นรองเท้าระดับโครตท็อปหรือฟลายนิต โดยถ้ามองในไลน์การผลิตของรองเท้าระดับท็อปปกติแล้ว
รองเท้าซี่รี่ย์นี้ยังมี Magista Opus เป็นพระเอกในการทำตลาด แม้จะไม่ออกสื่อฯ มากนัก แต่รองเท้ารุ่นนี้
ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีของหลายๆ คน อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว มันคือเจเนอเรชั่นต่อเนื่อง
ของรองเท้ารุ่น CTR 360 Maestri III ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยอดเยี่ยมและได้รับความนิยมมาโดยตลอด
ดังนั้น..เชื่อว่า ไนกี้ ไม่ยอมให้รองเท้า Magista Opus "น้อยกว่า" รองเท้าสายพันธุ์เก่งรอบด้านอย่างแน่นอน
บทความนี้..แม้จะยังไม่ได้สวมใส่ทดสอบลงใช้งานในสนามแข่งขัน แต่ผมจะขอเอากล่องรองเท้าสีส้มของไนกี้
ที่ป้ายด้านข้างระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น Magista Opus มาเปิดฝากล่อง พร้อมทำการ "Hand On!" สิ่งที่อยู่ข้างใน
ให้ทุกท่านได้รับชมกัน มาดูกันซิว่าไนกี้ใส่อะไรมาให้ภายในกล่องใบนี้บ้าง และตัวรองเท้ารุ่นนี้ มีรายละเอียด
ส่วนต่างๆ มีเทคโนโลยีและมีลูกเล่นอะไรมาให้บ้าง
ผมจะเปิดฝากล่องแล้วนะ...
ภายในกล่องเราจะพบเจอตัวรองเท้าฟุตบอล รุ่น Magista Opus ที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีขาว วางมาในทิศทาง
แบบสลับหัวท้ายกัน เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ เป็นไปตามปกติการบรรจุหีบห่อของรองเท้าฟุตบอล
ด้านในหัวรองเท้ามีดันทรงกระดาษอัด ที่เป็นทรงแข็ง ใส่มาให้ในตัวรองเท้าเพื่อรักษารูปทรง สำหรับรองเท้า
รุ่นนี้/สีนี้ ไนกี้ใช้ประเทศเวียดนาม (Made in Vietnam) เป็นฐานการผลิต และเพื่อให้สมฐานะรองเท้าฟุตบอล
ระดับท็อปคลาสของไนกี้ แน่นอนว่า ด้านในจะมีถุงสะพายสำหรับใส่รองเท้า ดีไซน์เข้าธีมและเข้าสีเฉพาะของ
รองเท้าซีรี่ย์ Magista สีเขียวมะนาว สีนี้เท่านั้น
เพียงแต่ดีไซน์การออกแบบดูจะเป็นดีไซน์เรียบๆ น่าเสียดายที่ไม่มีกราฟฟิกคำว่า MAGISTA พิมพ์เอาไว้
ให้โดดเด่นเลย แตกต่างจากถุงสะพายของ CTR 360 ที่ตรงกลางพิมพ์เอาไว้ด้วยตัวอักษารขนาดใหญ่ชัดเจน
หลายคนอาจจะสนใจกับรายละเอียดบนตัวรองเท้า Magista Opus เป็นหลัก ว่ามันแตกต่างจาก CTR 360
Maestri III อย่างไรบ้าง แต่ก่อนที่จะไปสำรวจเรื่องนั้น ผมจะขอพามาวัดน้ำหนักตัวของรองเท้ารุ่นนี้กันก่อน
เพราะครั้งแรกที่ผมหยิบเอารองเท้าข้างนึงมาถือเอาไว้ รู้สึกได้ทันทีเลยว่ารองเท้ารุ่นนี้ "เบามาก" คำว่าเบามาก
ในทีนี้คือ เบากว่าคาดคิดเอาไว้ และเพื่อเทียบกันเฉพาะรองเท้าประเภทเดียวกัน หรืออาจจะรวมไปถึง ไนกี้
Tiempo Legend V ที่ไนกี้ทำตลาดควบคู่กันในฐานะรองเท้าประเภทคอนโทรล
ตัวเลขน้ำหนักของ Magista Opus (ไซด์ 9.5 US , 8.5 UK , 43 Fr และ 27.5 cm) อยู่ที่ 204 กรัม/ข้าง เมื่อ
มองดูข้อมูลน้ำหนักรองเท้าฟุตบอลรุ่น/ยี่ห้อ อื่นๆ เป็นดังนี้
- ไนกี้ Tiempo Legend V 245 กรัม
- ไนกี้ Hypervenom Phantom 200 กรัม
- ไนกี้ Mercurial Vapor IX 192 กรัม
- ไนกี้ CTR 360 Maestri III 240 กรัม
- อาดิดาส Predator® Instinct 285 กรัม
- อาดิดาส adiPure 11Pro II 274 กรัม
- พูม่า King 2013 252 กรัม
จากตัวเลขที่ปรากฏออกมา จะเห็นได้ว่า Magista Opus เบาขึ้นกว่า CTR 360 Maestri III เกือบ 40 กรัม/ข้าง
เลยทีเดียว และแทบจะใกล้เคียงกับ Hypervenom Phantom ซึ่งเป็นรองเท้าประเภทจู่โจม เน้นความคล่องตัว
ส่วนคู่แข่งในตลาดโดยตรงอย่าง อาดิดาส Predator® Instinct ก็มีน้ำหนักมากกว่าถึง 81 กรัม !!! กลายเป็นว่า
เทรนด์ของไนกี้ คือสร้างรองเท้าสายคอนโทรลของตัวเองให้เบาขึ้นดั่งที่เห็น ตรงกันข้ามกับคู่แข่งจากอาดิดาส
ที่เพิ่มน้ำหนักตัวขึ้น
รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus มีวัสดุหลักของตัวรองเท้าผลิตมาจากหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์
(Kanga-Lite) แบบชิ้นเดียวกันทั้งข้าง มีรองเย็บประสานอยู่ด้านหลัง ตรงส้นเท้าเท่านั้น โดยหนังสังเคราะห์
ชนิดนี้เป็นหนังสังเคราะห์ ที่ทีมพัฒนารองเท้าฟุตบองของไนกี้ได้ออกแบบมา โดยนำเอาข้อดีของหนังสังเคราะห์
และข้อดีของหนังจิงโจ้มารวมกัน
กล่าวคือ..หนังชนิดนี้จะมีน้ำหนักเบา สามารถรีดให้บางเพื่อสร้างฟีลลิ่งการสัมผัสบอลเหมือนใช้เท้าเปล่า
หน้าสัมผัสมีแรงเสียดทาน หนังมีความนุ่มใส่สบาย ทนทานและไม่อมน้ำ ซึ่งหนังแคงกาไลท์ได้เป็นที่รู้จัก
และยอมรับจากบรรดาคนเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เจเนอเรชั่น CTR 360 Maestri I แล้ว จึงสามารถการรันตีได้ถึง
ศักยภาพของหนังสังเคราะห์ชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากรายละเอียดด้านนอกตัวรองเท้าแล้ว ยังพบว่าหน้าสัมผัสด้านในของตัวรองเท้าที่จะคอยห่อหุ้มเท้า
ของผู้สวมใส่ จะเป็นวัสดุหน้าผ้านิ่มๆ ที่มีวัสดุบุนุ่มบางๆ บุเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งวัสดุลักษณะนี้ ดูเหมือน
จะสามารถยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดี จึงให้สัมผัสที่แนบติดเท้า ช่วยให้ฟีลลิ่งเหมือนตัวรองเท้า
เป็นส่วนหนึ่งของเท้าได้มากเป็นพิเศษ และยังพอจะช่วยเพิ่มความนุ่มตอนที่สัมผัสลูกบอล..อีกเล็กน้อย
ส่วนที่เห็นเป็นพื้นผิวรูปทรงหกเหลี่ยมทางสูงแบบในภาพด้านบน ถูกเรียกว่า Microfiber Mesh เป็นลูกเล่น
ที่ไนกี้ออกแบบมาเพื่อให้ตัวรองเท้ามีพื้นผิวสัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รอบตัว ผิวสัมผัสอาจจะไม่ถูกเคลือบให้มี
ความเหนียวด้วยสารเคลือบผิว แต่พื้นผิวที่เป็นมิติ สูงต่ำ ที่ชัดเจนแบบนี้จะช่วยทำให้มันสามารถสร้างแรง
เสียดทานกับผิวของลูกฟุตบอล เพื่อให้สามารถสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอลได้อย่างรอบด้าน สมกับการเป็น
รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลที่สมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม
ทั้งนี้..ไนกี้ยังระบุข้อมูลออกมาว่า ได้เสริมเทคโนโลยีที่เรียกว่า ไนกี้สกิน (Nike Skin) ซึ่งมีความหนาเพียง
1 มิลลิเมตร แทรกตัวเอาไว้ด้วย เพื่อช่วยเพิ่มความสบายในการสวมใส่ ความกระชับและป้องกันการซึมผ่าน
ของน้ำ ผ่านทางช่องวางระหว่างเส้นใย Microfiber Mesh
หน้าสัมผัสทุกส่วนของตัวรองเท้า ยังมีเทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ซึ่งเป็นการเคลือบสาร
ชนิดพิเศษเอาไว้ ช่วยลดการจับตัวของหยดน้ำ ทำให้การควบคุมลูกฟุตบอลที่ดีในทุกสภาพสนาม ซึ่งเทคโนโลยี
ดังกล่าว ถูกจำกัดเฉพาะรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสของไนกี้ ขึ้นไป เท่านั้น
ด้านข้างของไนกี้ Magista Opus เป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์ ชิ้นเดียวกันกับด้านหน้า และมีพื้นผิว
สัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รูปทรง 6 เหลี่ยมสูง เรียงตัวตัวต่อเนื่องกันมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ลักษณะตัวรองเท้า
ของฝั่งข้างเท้าด้านใน จะมีความโค้งเว้าเข้ามาเล็กน้อย เพื่อให้ลงตัวกับการสัมผัสลูกฟุตบอลและสร้างความ
กระชับใหกับข้างเท้าด้านในไปพร้อมๆ กัน
อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่านั้น ก็คือการเล่นสีของส่วนที่เป็นพื้นผิวสัมผัสบอลรูปทรงหกเหลี่ยม และสีพื้น
ของตราไนกี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อมองในมุมมองด้านข้าง ก็จะเห็นเหมือนว่ารองเท้า 2 ข้าง เป็นคนละสี
ก็เป็นอีกหนึ่งดีไซน์การออกแบบที่สร้างความแตกต่าง สุดแล้วแต่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งลูกเล่นแบบนี้
คาดว่าจะมีเฉพาะรองเท้าบางเฉดสีเท่านั้น
ลักษณะแนวร้อยเชือกของรองเท้ารุ่นนี้ ไม่เป็นเส้นตรง โดยด้านล่างสุดจะเอียงเข้าไปยังข้างเท้าด้านใน
มากกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อเปิดพื้นที่สัมผัสบอลบริเวณหัวรองเท้าทางฝั่งข้างเท้าด้านใน (นิ้วก้อย) เพื่อเปิด
พื้นที่สำหรับการจับบอลแรกด้วยข้างเท้าด้านนอก และในทางตรงกันข้าม แนวร้อยเชือกจะช่วยสร้างความ
กระชับให้กับข้างเท้าด้านในได้มากขึ้นอีกนิด ซึ่งลักษณะแนวร้อยเชือกแบบนี้ถือเอกลักษณ์ต่อเนื่องมาจาก
ซีรี่ย์เก่า (CTR 360)
เชือกรองเท้าที่ร้อยติดตัวรองเท้ามาจากประเทศเวียดนาม เป็นเชือกรองเท้าแบบเส้นแบน หน้ากว้าง เมื่อร้อย
เชือกผ่านรูปครบถ้วนสมบูรณ์ จะสามารถจัดเรียงการวางตัวของเส้นเชือกได้ง่าย จึงช่วยลดโอกาสการรบกวน
การสัมผัสบอลบริเวณหลังเท้าลงได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เนื้อผ้าของเส้นเชือกมีความนิ่มพอสมควร เพียงแต่
เมื่อผูกปมเชือกรองเท้าแล้ว ผมยังรู้สึกเหมือนว่าปมเชือกยังจับกันไม่แน่นสนิทมากนัก เวลาเล่นอาจเกิดการ
คลายตัวได้บ้าง ต้องคอยดูกันดีๆ
ลิ้นรองเท้าของ Magista Opus เป็นลิ้นแบบสั้น ทำจากวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์เหมือนกับตัวรองเท้า
โดยช่วงกลางของลิ้น มีวัสดุบุนุ่มบรรจุเอาไว้ เพื่อให้ผู้เล่นสามารถสัมผัสบอลด้วยหลังเท้าได้อย่างนุ่มนวล
มีรูระบายอากาศเพื่อช่วยให้การยุบตัวรับแรงกระแทกของส่วนที่มีวัสดุบุนุ่ม มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะอากาศ
จะสามารถเข้าไปแทนที่ได้เมื่อไม่ได้สัมผัสบอล และเมื่อสัมผัสบอล..อากาศจะมีช่องให้ระบายออกมา นั่นเอง
รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งของลิ้นรองเท้า นอกเหนือจากกราฟฟิกสัญลักษณ์ ACC ด้านบนกับตราไนกี้แบบเอียงๆ
และสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังพบว่าด้านข้างลิ้นรองเท้า เฉพาะฝั่งข้างเท้าด้านใน มันได้ถูกเย็บติดกับตัวรองเท้า
ด้วยวัสดุผ้ายืด เพื่อเป็นการยึดตรึ่งไม่ให้ลิ้นรองเท้าขยับเอียงออกไปได้มากนัก ส่วนฝั่งข้างเท้าด้านนอกจะมี
ป้ายบอกไซด์รองเท้าเย็บเอาไว้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาตอนสวมใส่รองเท้าพอสมควร เราต้องมาคอยจับคอยขยับ
ป้ายบอกไซด์ไม่ให้มันพับหรือย่น ไม่งั้นมันจะสร้างความสำราญให้กับหลังเท้าเรา เรื่องนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไม
ไนกี้ไม่แปะป้ายบอกไซด์เอาไว้ที่ใต้ลิ้นรองเท้า หรือติดกับตัวรองเท้าด้านในไปเลย !?
ไนกี้เลือกใช้ เกราะป้องกันกระแทกส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายแบบภายนอก (External Heel Counter) ให้กับ
Magista Opus (ตอน CTR 360 Maestri III เป็นเกราะภายใน) โดยออกแบบให้ส่วนของพื้นรองเท้า ที่เป็นวัสดุ
พลาสติก Pebax ได้ถูกฉีดขึ้นรูปให้โค้งขึ้นมาปกป้องบริเวณส้นเท้าของข้างเท้าทั้งสองฝั่ง ปกปิดขึ้นมาถึงกึ่งหนึ่ง
ของข้อเท้าเลยทีเดียว ชิ้นพลาสติกมีความหนาและแข็งแรง จึงน่าจะช่วยลดแรงปะทะที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ
ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยล็อคข้อเท้าได้อย่างแน่นหนาอีกด้วย
โดยเกราะป้องกันแรงกระแทนชิ้นนี้จะเว้าตัวลงที่ด้านท้ายของส้นเท้า เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับความสบายบริเวณ
ส้นเท้าด้านหลังและเอ็นร้อยหวาย ไม่ให้ชนกับหน้าสัมผัสแข็งๆ ของเกราะส้น และสามารถใส่วัสดุบุนุ่มที่หุ้มส้น
ด้านในได้นั่นเอง
หุ้มส้นด้านในของ Magista Opus ก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากรองเท้าต้นตำรับสายคอนโทรลรุ่นก่อนอย่างชัดเจน
โดยไนกี้ใช้หันมาใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ที่ผิวหน้าถูกทำลายปุเป็นจุดเล็กๆ ช่วยเสริมให้ดูดีกว่าหน้าสัมผัสแบบ
ผิวเรียบๆ อย่างไรก็ตาม..พื้นผิวสัมผัสทั้งหมดไม่มีส่วนที่ช่วยสร้างแรงดึงดูดกับส้นเท้ามากนัก สัมผัสด้วยนิ้วมือ
แล้วไม่ค่อยยึดเกาะ ออกแนวรู้สึกลื่นๆ เรียบๆ เสียด้วยซ้ำ
ด้านในของหุ้มส้นจะมีวัสดุบุนุ่มบุเอาไว้ ค่อนข้างจะเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านท้ายส้นเท้า หรือข้างเท้าทั้ง
สองฝั่ง เพื่อเป็นตัวช่วยสร้างความสบาย ลดโอกาสเสียดสีกับเกราะป้องกันแรงกระแทก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ
ของอาการรองเท้ากัด และยังช่วยสร้างความกระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี อีกด้วย
นอกจากนั้นจะเห็นลักษณะการออกแบบของปลายหุ้มส้นด้านหลัง ว่าเป็นเป็นหุ้มส้นแบบเปิดกว้าง รองรับ
กับแนวเอ็ยร้อยหวายของคนที่ข้อเท้าใหญ่ๆ ได้ดี คนละเรื่องกับปลายหุ้มส้นของ ไนกี้ Tiempo Legend V
ที่บีบแคบเข้ามากว่านี้ จนสร้างความอึดอัดให้กับแนวเอ็นร้อยหวายเป็นอย่างมาก
แผ่นรองพื้นด้านในของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus ดูไกลๆ จะคล้ายเดียวกับแผ่นรองพื้นของไนกี้
Tiempo Legend V เลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันพอสมควร เริ่มจากสิ่งที่เหมือนกันก่อนก็คือลักษณะ
แผ่นโฟมที่ถูกเจาะให้มีรูเล็กๆ ตลอดทั่วทั้งแผ่น โดยใช้โฟม EVA ที่มีเนื้อโฟมแน่น และมีความหนาเท่ากัน
ตลอดทั้งแผ่นมาอัดขึ้นรูป และยังใช้เนื้อโฟมสีเหลืองสด เหมือนกันอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม..แผ่นรองพื้นของ Magista Opus นั้นดูจะมีทรวดทรงองเอวที่คอดเว้ามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ
ช่วงกลางจะเห็นได้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าชุดพื้นของรองเท้ารุ่นนี้มีลักษณะแคบเข้ามาพอสมควร
หน้าสัมผัสด้านบนของแผ่นรองพื้นชุดนี้ เป็นหน้าผ้าไนล่อน แม้จะไม่มีการเคลือบผิวให้หนึบเหมือนกับ
แผ่นรองพื้นรองเท้ารุ่นเก่าๆ ของไนกี้ แต่หน้าสัมผัสสีชมพูของ Magista Opus ที่เห็นจากภาพด้านบนนั้น
ก็ให้สัมผัสความฝืดพอสมควร เนื่องจากหน้าสัมผัสมีชั้นหน้าผ้าที่หนา และเนื้อผ้ามีลักษณะเป็นขุยๆ มาก
กว่าเพื่อน (จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบกับแผ่นรองพื้นของ Mercurial Vapor IX)
ส่วนด้านใต้ของแผ่นรองพื้น ไม่มีโฟม Poron เสริมมาเพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกจากพื้นสนาม เหมือนกับ
Tiempo Legend V โดยเป็นเนื้อโฟม EVA แบบเพียวๆ ที่มีจุดนูนออกมาเพื่อช่วยยึดกับชุดพื้นรองเท้าเอาไว้
ทำให้แผ่นรองพื้นมีความมั่นคง
เรามาปิดท้ายกันที่การสำรวจชุดพื้นช่วงล่างและปุ่มรองเท้าแบบ FG ของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus
กันเหมือนเดิม ซึ่งไนกี้ได้เสริมเทคโนโลยีทางวัสดุมาให้กับรองเท้ารุ่นระดับท็อปคลาสรุ่นนี้อย่างสมศักดิ์ศรี
โดยไนกี้เลือกใช้วัสดุพลาสติก Pebax ซึ่งเป็นพลาสติกทางวิศวกรรม ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง เหนียว และมี
น้ำหนักเบา มาฉีดขึ้นรูปเป็นชุดพื้นแบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด โดยผสมผสานการออกแบบให้ชุดพื้นเป็นแบบใส
ซึ่งดูดีกว่าวัสดุสีทึบ
และเมื่อเปรียบเทียบกับซีรี่ย์เก่าอย่าง CTR 360 Maestri III แล้ว จะเห็นได้ว่า Magista Opus ได้ถูกออกแบบ
ชุดปุ่มแบบ FG ใหม่ทั้งหมด จนไม่เหลือเคล้าโครงเดิมแม้แต่นิด โดยปุ่มของรองเท้าด้านหน้า มีทั้งหมด 11 ปุ่ม
แบ่งออกเป็นปุ่มตามแนวขอบรองเท้า ทั้งขอบด้านในและด้านนอก ด้านละ 4 ปุ่ม วางเรียงตัวกันแบบจับคู่
ลักษณะปุ่มทั้ง 8 ปุ่ม เป็นปุ่มทรงกรวย มีฐานปุ่มกว้างกว่าปลายปุ่มเล็กน้อย ซึ่งไนกี้มั่นใจว่าปุ่มลักษณะนี้จะช่วย
ทำให้ Magista Opus สามารถจิกเกาะพื้นสนามได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเปลี่ยนทิศทาง
ของการเคลื่อนที่แบบรอบตัว 360 องศา โดยมีฐานปุ่มที่มีขนาดกว้างคอยช่วยสร้างความมั่นคงเวลาที่ต้องลง
น้ำหนักตัวมากๆ ในจังหวะการหมุนตัว นั่นเอง
นอกเหนือจากการยึดเกาะและการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่แสนจะอิสระแล้ว ไนกี้ยังยังนิยมใช้ปุ่มตรงกลาง
ฝ่าเท้า อีก 3 ปุ่ม เป็นปุ่มแนวขวาง วางเรียงตัวกันมาตั้งแต่บริเวณหัวรองเท้า เพื่อทำหน้าที่เกาะพื้นสนามและ
สร้างแรงสปรินซ์ในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ในกรณีที่ผู้เล่นต้องการความเร็วทางตรง รายละเอียดตรงจุดนี้
แทบจะเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้าฟุตบอลจากไนกี้ ยุคปัจจุบัน..ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โครงสร้างช่วงกลาง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างชุดพื้นด้านหน้าและด้านหลัง ถูกเชื่อมกันด้วยโครงสร้างแบบใหม่
ที่ไนกี้เอามาใช้กับรองเท้าทุกซีรี่ย์ของตัวเองในปัจจุบัน โดยข้อดีของการขึ้นโครงสร้างตรงกลางให้มีหน้าตา
แบบนี้มีด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการส่งแรงดีดกลับเวลาที่ชุดพื้นโค้งงอ อันเกิดในขณะที่
ผู้เล่นสปรินซ์เคลื่อนที่ด้วยปลายเท้า เพื่อช่วยเสริมแรงดีดในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า และโครงสร้างแบบนี้ยัง
ป้องกันการบิดตัวของชุดพื้นเวลาที่ผู้เล่นสไลด์ตัวออกไปด้านข้าง ลดการเสียจังหวะหรือการพลิกตัวของรองเท้า
ลงได้
ปุ่มด้านหลังมีจำนวน 4 ปุ่ม เป็นปุ่มกลมรูปทรงกรวยเหมือนกัน แต่จะมีลักษณะยาวกว่าปุ่มด้านหน้าเล็กน้อย
และฐานปุ่มจะใหญ่หว่า เพื่อทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักตัวของผู้สวมใส่เอาไว้ และจะเห็นได้ว่าด้านล่างของ
ฐานปุ่ม จะมีโครงสร้างเชื่อมต่อมาจากปุ่มด้านหน้าและช่วงกลางรองเท้า เพื่อทำให้ชุดพื้นและปุ่มของรองเท้า
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด ช่วยสร้างความมั่นคงและประสิทธิภาพของการสปรินซ์ออกตัว ให้ไป
ในทิศทางเดียวกัน
ผู้ซื้อยังสามารถไว้ใจถึงความแข็งแรงทนทานของปุ่มรองเท้าทั้ง 15 ปุ่ม ของ Magista Opus ได้อย่างแน่นอน
เพราะไนกี้ใช้เทคนิคการฉีดพลาสติก Pebax ฐานปุ่มและชุดพื้นเป็นชิ้นเดียวกัน ก่อนที่จะฉีดครอบเป็นปลายปุ่ม
รองเท้าอีกหนึ่งชั้น แม้ว่าพื้นที่หน้าตัดของปุ่มทุกปุ่มจะดูเล็กก็ตาม
ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านสามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า Magista Opus ยังคงมีเทคโนโลยี วัสดุและลูกเล่น สมกับ
การเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสในตลาดเหมือนเดิม แต่ว่าไนกี่้จะเน้นโปรโมทรุ่นโครตท็อปที่มีวัสดุ
ฟลายนิตก็ตาม แต่ข้อดีก็คือ "ความแตกต่าง" ของรองเท้าทั้งสองรุ่น ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมี Magista Obra
ในครอบครองแล้ว แต่ผมก็ยังยืนยันว่า Magista Opus นั้นสามารถให้ประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างออกไป
มันไม่เหมือนรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์อื่นๆ ที่รองเท้าต่ำกว่าจะถูกตัดลดทอนอ๊อฟชั่น ลงมาจากที่มีในรองเท้าระดับ
ที่สูงกว่า เพราะรองเท้าทั้งสองรุ่นในซีรี่ย์ใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาบนความแตกต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้
ผมเชื่อว่า Magista Opus สามารถที่จะจำกัดความด้วยสโลแกน "Create Attack" ได้เช่นกัน โดยประสิทธิภาพ
การใช้งานเชิงลึก รีวิวเจาะกันแบบละเอียดตามมาตรฐานของผม จะตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน อยากให้
คุณผู้อ่านทุกท่านอดใจรอคอยกันสักนิด แล้วเราจะมาหาคำตอบกันว่ารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาส ของซีรี่ย์
ใหม่จากไนกี้ จะมีดีมากน้อยแค่ไหน !? ต้องรอติดตาม
แต่สำหรับคุณผู้อ่านท่านใด ที่ไม่อยากรอ ตัดสินใจพร้อมที่จะจับจองเป็นเจ้าของเจ้า Magista Opus เลย
วันนี้ไนกี้วางจำหน่ายรองเท้ารุ่นนี้ ในราคา 6,900 บาท ที่ร้านไกี้ สาขาสยามพารากอน, เทอร์มินอล 21,
ร้านซูเปอร์สปอร์ต สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าและลาดพร้าว, ร้านนกแก้ว ,ร้านอาริ ฟุตบอลคอนเซปต์ สโตร์
และ ร้านเอฟบีที หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com\nikefootballTH
ระดับของรองเท้าฟุตบอล ::
รองเท้าฟุตบอลในปัจจุบันมีหลายระดับนะครับ แตกต่างกันที่ราคา วัสดุที่ใช้ในการผลิต และเทคโนโลยีเสริม
ที่ใส่ลงไปในตัวรองเท้า โดยแบ่งออกเป็นประเภทดังนี้…
ที่ใส่ลงไปในตัวรองเท้า โดยแบ่งออกเป็นประเภทดังนี้…
- WORLD CLASS / หรือที่เราเรียกว่าตัวโคตรท็อป เป็นรุ่นที่นำเทคโนโลยีขั้นสูง เข้ามาผสมผสาน
ในรองเท้าระดับนี้ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่สูงสุด และจะมีราคาสูงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตระกูล SL
ของยี่ห้อ Adidas หรือตระกูล Elite ของยี่ห้อ Nike เป็นต้น
… - TOP / รุ่นท็อป… รองเท้าระดับนี้ถือได้ว่าเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นรองเท้า
ระดับสูงที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถแบบเต็มรูปแบบ ราคาสามารถหยิบจับได้ และถือว่าคุ้มค่ามาก
ตัวอย่างเช่น F50 adiZero, Predator LZ, Nitrocharge 1.0, Mercurial Vapor, CTR360 Maestri
Tiempo Legend, Hypervenom Phantom เป็นต้นเรามาพบกับตัวของไนกี้ Mercurial Vapor IX ที่เราจะใช้ทดสอบกันในนี้เลยดีกว่า โดยจะขอเริ่มตั้งแต่
เปิดฝากกล่อง ดูซิว่าเมื่อท่านจับจองเป็นเจ้าของรองเท้ารุ่นนี้มาแบบครบกล่อง ในกล่องสีส้มของไนกี้จะมี
อะไรบรรจุมาให้บ้าง แล้วก็มาทำความรู้จักและสำรวจทุกส่วนของรองเท้ากันแบบ "Hand On!" ก่อนที่เราจะ
สวมใส่ลงสนามทดสอบในช่วงถัดไป
กล่องรองเท้าฟุตบอลสีส้มที่คุ้นเคยคุ้นหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี เพราะหลังๆ มานี้ มีมาให้เปิดกันจนถี่เหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นกล่องสีส้มกล่องแรกสำหรับปี 2013 นี้เลยที่เราจะได้มาเปิดกัน พอได้เปิดฝากล่องบนออก
ก็พบกับกระดาษสีขาว ห่อม้วนตัวรองเท้าเอาไว้จนมองไม่เห็นตัวรองเท้าเลย หากไม่ค่อยๆ คลี่แผ่นกระดาษออก
ทีละแผ่นๆ และเมื่อทำเช่นนั้น ก็จะได้เจอตัวกับเจ้า Mercurial Vapor IX สีแสด นอนตัวตะแคงวางสลับหัวท้าย
กันอยู่
หลังจากนั้นขอรื้อทุกซอกทุกมุมภายในกล่องดูเสียหน่อย ว่านอกจากตัวรองเท้าแล้ว ยังมีอะไรแถมพิเศษ
มาให้อีกหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะที่ด้านล่างสุดของกล่องจะพบกับถุงใส่รองเท้าแบบกระเป๋า
สะพายหลังแถมมาให้ตามมาตรฐานของรองเท้าระดับท็อปของไนกี้ โดยถุงที่ให้มากับรองเท้าคู่นี้มาในเฉดสี
เขียวสะท้อนแสงโครตแสบตาเลย แสบตากว่าสีแสดของตัวรองเท้าอีก ส่วนสเปคอื่นๆ ของตัวถุงใบนี้ วัสดุ
จะเป็นผ้าร่ม บางๆ สัมผัสลื่นๆ ด้านในมีช่องสำหรับใส่ของเล็กๆ และมีซิปให้รูดปิด ตามปกติที่คุ้นเคยกันดี
มาเริ่มต้นสำรวจตัวรองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX ซึ่งเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสของ
ซีรี่ย์นี้กันเลยดีกว่า ประเดิมด้วยการจับขึ้นมาวางไว้บนมือ ลองชั่งน้ำหนักกะเกณฑ์เปรียบเทียบกับเจเนอเรชั่น
ที่แล้ว พบว่าน้ำหนักของรองเท้าไม่ได้หนีจากเดิมมานัก หากยังจำกันได้ที่เราเคยรีวิว Mercurial Vapor VIII
เวอร์ชั่นปกติ จับเอาขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักจะได้ 187 กรัม ส่วน Mercurial Vapor VIII CR นั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ที่
192 กรัม และตัวเลขน้ำหนักตัวของ Mercurial Vapor IX ที่ปรากฏขึ้นมา นั้นอยู่ที่ 192 กรัม !!! ซึ่งเป็นน้ำหนัก
เดียวกับ Mercurial Vapor VIII CR พอดิบพอดี และหมายความว่า Mercurial Vapor IX มีน้ำหนักตัวที่สูง
ว่า Mercurial Vapor VIII นิดนึง โดยรองเท้ามีขนาดไซด์ 27.5 cm เท่ากันทั้งหมด
เรื่องของรูปร่างรูปทรงนั้นก็ยังคงเป็นรองเท้าฟุตบอลรูปทรงเรียวยาวเหมือนเดิม โดยตอนกลางจะคอตเว้า
เข้ารูป ให้ลักษณะดูกระชับจับถนัดมือ ถือเป็นสไตล์ของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ไปแล้ว
มาดูกันต่อที่วัสดุหน้าผ้าและตัวรองเท้าของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX ซึ่งใช้หนังสังเคราะห์เอกสิทธิ์พิเศษ
เฉพาะไนกี้ ที่นำมาใช้กับรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรก ก่อนที่จะยังคงพัฒนาต่อยอดมาเรื่อยๆ
จนถึงเจเนอเรชั่นปัจจุบันนี้ นั่นคือ หนังสังเคราะห์เทจิน ไมโครไฟเบอร์ (Tejin microfiber) หนังสังเคราะห์
ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของน้ำหนักที่เบา สามารถรีบให้บาง มีความทนทาน ป้องกันน้ำและความชื้นได้เป็น
อย่างดี ซึ่งเรียกได้ว่าวัสดุประเภทนี้แทบจะเป็นซิกเนเจอร์ของรองเท้ารุ่นนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาความสามารถของหนังสังเคราะห์เลื่องชื่อตัวนี้ ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ทีมนักออกแบบ
รองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ต้องทำ โดยหนังสังเคราะห์ของ Mercurial Vapor IX นั้นได้ถูกทำให้มีพื้นผิวสัมผัสคล้าย
ผิวของลูกกอล์ฟ ที่มีรอยบุ๋มเต็มไปหมด เพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัสให้สามารถสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้ดียิ่งขึ้น โดย
เฉพาะส่วนของครึ่งหัวด้านหน้า ยังมีการเคลือบผิวหน้าผ้าด้วยสารยึดติด ลองใช้นิ้วมือสัมผัสดูจะพบว่าให้สัมผัส
ที่เหนียวหนึบกว่าด้านหลัง และจะทำให้ลักษณะของเฉดสีส่วนหน้านี้มีลักษณะเงางาม คล้ายสีเมทัลลิกยังไงยังงั้น
(http://mech2262.drupalgardens.com/content/dimple-effect-golf-balls-vs-ping-pong-balls)
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีอีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของพื้นผิวตะปุ่มตะปั่มเหมือนลูกกอล์ฟเช่นนี้ ก็คือการลดแรงต้าน
อากาศหรือค่า Cd (Coefficient of Drag) เพื่อให้ Drag Force มีค่าน้อยที่สุด หรือที่ตามหลักอากาศพลศาสตร์
เรียกว่า Dimple Effect ซึ่งแนวคิดของการลดค่า Cd เช่นนี้ เป็นแนวคิดที่จำเป็นมากสำหรับรถซุปเปอร์คาร์
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไม ไนกี้ ถึงต้องดึงเอา แลมเบอร์กินี่ กัลลาร์โด้ มาเป็นส่วนหนึ่งของการ
โปรโมทรองเท้ารุ่นนี้
ส่วนพื้นผิวหน้าสัมผัสของตอนกลางของตัวรองเท้า หรือส่วนที่เป็นเฉดสีอีกเฉดสีหนึ่งนั้น ผิวสัมผัสจะไม่มี
การเคลือบสารดึงดูดเหมือนส่วนหน้า ลองใช้นิ้วมือสัมผัสจะรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าตรงบริเวณนี้มีผิวที่ลื่นกว่า
และลักษณะของเฉดสีจะดูไม่เงางามเหมือนกับตรงหัวรองเท้า
ความนุ่มของหนังตัวรองเท้าโดยภาพรวม ของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX คู่นี้ มีความนุ่ม
ที่ไม่ค่อยแตกต่างกับเจเนอเรชั่นที่แล้วมากนัก แต่ที่แตกต่างกันก็คือความหนาของหนัง ที่ดูจะมีความหนา
มากกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้วเล็กน้อย
ส่วนพื้นที่ตอนท้ายของตัวรองเท้าทางฝั่งข้างเท้าด้านใน มีกราฟฟิกตัวอักษรว่า "NIKE" ขนาดเบ้อเร่อ
ลากยาวจากตรงกลางมาจนถึงสุดส้นเท้า พร้อมกับการลงสีอีกเฉดสีหนึ่ง "เพื่อสร้างความโดดเด่นในยาม
ที่อยู่ในสนาม และให้เพื่อร่วมทีมสามารถเห็นคุณได้ก่อนสิ่งอื่นใด" รู้สึกว่าข้อความที่มีความหมายเช่นนี้
จะคุ้นๆ ว่าไนกี้เคยใช้โปรโมท Mercurial Vapor VII มาแล้ว ก่อนที่จะหายไปตอน Mercurial Vapor VIII
แล้วก็ถูกจับกลับมาใช้งานในครั้งใน Mercurial Vapor IX ที่เรากำลังทำความรู้จักกันอยู่นี้
เกราะป้องกันส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายยังคงเป็นแบบภายใน (Internal Heel Counter) เข้ารูปฝังอยู่ด้านใน
ของส้นเท้า
ลักษณะของเชือกรองเท้าแบบมาตรฐานที่ติดตัวเจ้า Mercurial Vapor IX มาจากแหล่งกำเนิด จะเป็นเชือก
ที่มีเนื้อผ้าหนา เส้นไม่แบนไม่กลม ไม่นิ่มไม่แข็ง ถูกร้อยมาตามรูตรงแนวกึ่งกลางของหลังเท้า ตามที่เราต่างก็
คุ้นเคยกันดี ทั้งนี้จะเห็นว่าตรงกลางลิ้นรองเท้า มีตราสัญลักษณ์ ACC หรือ All Conditions Control ระบุ
เอาไว้ ซึ่งเทคโนโลยีพิเศษชิ้นนี้ของไนกี้ คือการเคลือบตัวรองเท้าด้วยสารพิเศษ ทำให้สามารถควบคุมลูก
ฟุตบอลได้ดีในสภาวะเปียกชื้น ซึ่งศักยภาพตรงนี้ถือว่าได้รับการยอมรับมาจากผู้ใช้งานมาแล้ว
มาสำรวจกันต่อที่ส่วนของหุ้มส้นด้านใน แม้ว่ารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสของไนกี้ซีรี่ย์อื่นๆ จะใช้หุ้มส้น
แบบหน้าผ้ากำมะหยี่ที่ฟูและนุ่ม แต่สำหรับรองเท้าฟุตบอลซีรี่น์จรวดทางเรียบซีรี่ย์นี้นั้น หุ้มส้นแบบหน้าผ้า
หนังสังเคราะห์ผิวเรียบๆ ด้านในยัดฟองน้ำเฉพาะส่วนครึ่งด้านบน ยังคงถูกเอามาใช้กับ Mercurial Vapor IX
เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากคุณสมบัติในการระบายความร้อนที่ดีกว่า ซึ่งเหมาะกับ
รองเท้าฟุตบอลที่เน้นการเคลื่อนที่เป็นหลัก โดยปลายด้านบนของหุ้นส้นจะไม่สูงเหมือนกับรองเท้าฟุตบอล
ของทางฝั่งอาดิดาส ดังนั้น เมื่อสวมใส่แล้ว ปลายหุ้มส้นจะอยู่ที่ระดับตอนล่างของแนวเอ็นร้อยหวายเท่านั้น
เช่นเดียวกับแผ่นรองพื้นด้านในซึ่งสามารถถอดแยกออกมาจากตัวรองเท้าได้ ก็ยังคงเป็นแผ่นรองพื้นที่ผลิต
จากโฟม EVA ทั้งแผ่น บางๆ ด้านใต้ไม่มีการเสริมแนววัสดุพิเศษหรือจะช่วยรองรับแรงแทก เฉดเช่นโฟม
Poron เหมือนกับรองเท้าระดับท็อปซีรี่ย์อื่นๆ ของไนกี้เอง โดยตลอดทั่วทั้งแผ่นก็ยังได้ถูกเจาะรูพรุน เพื่อให้
แผ่นรองพื้นชุดนนี้มีน้ำหนักตัวเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียกได้ว่าเป็นสไตล์ของแผ่นรองพื้นสำหรับรองเท้า
ฟุตบอลสายพันธุ์ความเร็วอย่างแท้จริง
ส่วนพื้นผิวหน้าสัมผัสของแผ่นรองพื้น ที่จะสัมผัสกับเท้าของผู้สวมใส่นั้น จะมีลักษณะเป็นหน้าผ้าเส้นใยไนล่อน
สัมผัสไม่หนึบเหมือนกับแผ่นรองพื้นที่มีการเคลือบผิวด้วยสารเพิ่มแรงดึงดูด เหมือนกับแผ่นรองพื้นของรองเท้า
ระดับท็อปคลาสในซีรี่ย์อื่นๆ ของไนกี้ อีกเช่นกัน เรียกได้ว่าแผ่นรองพื้นด้านในของ Mercurial Vapor IX นั้น
ยกชุดมาแบบเดิมเป๊ะ ไม่มีเปลี่ยนแปลง
ลงมาด้านล่างกันบ้าง นั่นคือส่วนของชุดพื้นนอกและปุ่มแบบ FG ของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX รองเท้า
พันธุ์ซุปเปอร์คาร์ หลักๆ ของชุดพื้นนั้นโดดเด่นด้วยวัสดุประเภทไฟเบอร์กลาส (Fiberglass) เป็นวัสดุหลัก
ซึ่งจะถูกผสมด้วย คาร์บอนไฟเบอร์ (Carbonfiber) ลงไปในชั้นล่าง ซึ่งวัสดุทั้งสองชนิดนี้ ถือเป็นวัสดุขั้น
สูงทางด้านวิศวกรรม มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของความทนทานแข็งแรง มีน้ำหนักเบา เป็นวัสดุประเภทแข็งทื่อ
ดังนั้น จึงส่งผลให้การดีดตัวหรือสปริงของฝ่าเท้านั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
และที่เห็นเป็นเส้นใยที่เงินเป็นตารางๆ นั้น ก็จะเป็นเส้นใยไฟเบอร์กลาสชั้นนอกสุด ที่จะทำหน้าที่เพิ่มความ
ยืดหยุ่นให้กับชุดพื้น ทั้งนี้จะเห็นว่าตอนกลางของชุดพื้นนั้น จะมีลักษณะเป็นนูนเป็นสันขึ้นมา ซึ่งตรงนี้จะ
ทำหน้าที่คล้ายเป็นกระดูกสันหลังของชุดพื้น ทั้งหมดจะถูกครอบด้วยกรอบพลาสติก TPU อีกชั้นหนึ่ง หรือที่
เห็นมีส่วนของพลาสติกสีดำนั่นแหละ เพื่อเป็นตัวยึดระหว่างชุดพื้นกับตัวรองเท้า และเป็นโครงสร้างสำคัญของ
ฐานปุ่ม
ก่อนที่จะมาดูปุ่มรองเท้าส่วนหน้ากัน ผมอยากให้คุณผู้อ่านสังเกตเพิ่มเกี่ยวกับชุดพื้นที่เป็นวัสดุไฟเบอร์กลาส
ของส่วนหน้านี้นิดนึง จะเห็นได้ว่าเนื้อของวัสดุนั้นจะมีสีที่สม่ำเสมอเป็นแบบเดียวกับชุดพื้นส่วนกลาง ในขณะ
ที่เจเนอเรชั่นที่แล้วนั้น จะไม่เข้มเท่านี้ จึงน่าสนใจว่าบางทีทีมพัฒนาของไนกี้ ได้เพิ่มสัดส่วนการผสมวัสดุ
ประเภทคาร์บอนไฟเบอร์ลงไปยังพื้นส่วนหน้าตรงนี้ด้วย
กลับมาโฟกัสกันที่ชุดพื้นแบบ FG ของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX กันต่อ รูปแบบของปุ่มยังเหมือนเดิม คือ
เป็นปุ่มใบมีด หน้าตัดแคบ รูปทรงตามยาว วางตัวตามองศาที่แตกต่าง เพื่อให้ศักยภาพในการเคลื่อนที่ด้วย
ความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนามที่ดีเยี่ยม ปลายปุ่มจะเป็นปุ่มใส ที่ถูกฉีดขึ้นรูปด้วยพลาสติก TPU ต่อยอดขึ้น
มาจากฐานปุ่มเป็นเนื้อเดียวกัน จำนวนปุ่มทั้งหมดของปุ่มส่วนหน้านี้นับได้เพียง 6 ปุ่ม เท่านั้น
ก่อนที่จะไปปิดท้ายกันที่คู่ปุ่มหลัง เรามาดูบริเวณหัวรองเท้ากันเพิ่มเติมก่อนนิดนึง แม้ว่าเจเนอเรชั่นที่แล้ว
อย่าง Mercurial Vapor VIII ในเฉดสีหลังๆ นั้น จะมีการเพิ่มแถบพลาสติกเพื่อป้องกันหัวเปิด ตลอดแนว
โค้งของหัวรองเท้า แต่พอมาเริ่มต้นในเจเนอเรชั่นใหม่นี้ จะไม่มีแถบป้องกันหัวเปิดตามแนวหัวรองเท้า
ก็ต้องดูว่าในเฉดสีต่อๆ ไปนั้น จะมีการเพิ่มเข้ามาอีกครั้งหรือไม่ อย่างไร
และที่เห็นเป็นหนามๆ หรือฟันปลา ที่ส่วนของชุดพื้นด้านหน้าสุด นั้นเรียกว่า Toe-off Traction Spikes
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะกับพื้นสนามและส่งแรงจากพื้นสนาม ในจังหวะที่ผู้ใช้สปรินซ์
ตัววิ่งด้วยปลายเท้า ซึ่งพื้นสัมผัสตรงนี้จะถูกกดลงไปสัมผัสกับพื้นผิวของสนามได้โดยตรง
ทั้งนี้ ผมได้ลองจับเอาส่วนหัวของ Mercurial Vapor IX และ Mercurial Vapor VIII มาวงเทียบกันแล้ว
พบว่า หัวรองเท้าของ Mercurial Vapor IX คู่ที่เรากำลังทำความรู้จักกันอยู่นี้ มีระดับที่ต่ำลงกว่าเดิม
ดังนั้น การสัมผัสระหว่างปุ่มรองเท้ากับพื้นสนามจึงสามารถทำได้ง่ายกว่าเดิมนั่นเอง
มาปิดท้ายกันที่ปุ่มคู่หลัง ซึ่งยังคงมาในแบบคู่ดูโอแค่ 2 ปุ่ม แต่เป็น 2 ปุ่ม ที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในบรรดา
ปุ่มทั้งหมด 8 ปุ่ม ของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX ที่มีปุ่มแบบ FG เช่นนี้ โดยปุ่มคู่หลังนี้ได้มีการเจาะรูตรงกลาง
เพิ่มการยึดเกาะและลดน้ำหนักตัวโดยรวมของรองเท้าลงไป ฐานปุ่มค่อนข้างแข็งแรงมาก เพราะมีการเชื่อมโยง
ด้วยครีบของชุดพื้นถึง 3 แฉก ยึดมาตั้งแต่ตอนกลางของปุ่มเลยทีเดียว เพราะเมื่อไนกี้ใช้ปุ่มหลังแค่ 2 ปุ่ม ดังนั้น
ปุ่มคู่นี้จะต้องรับภาระการลงน้ำหนักตัวของผู้สวมใส่ ในจังหวะที่ผู้สวมใส่ยืนเต็มเท้า
อย่างไรก็ตาม มีคำถามจากบรรดาสมาชิกของ SiamBoots พอสมควรว่า "ความแข็งแรงของฐานปุ่มและปุ่ม
ของรองเท้ารุ่นนี้ดีขึ้นไหม ?" ตรงจุดนี้หลังจากที่ผมได้จับสัมผัสเปรียบเทียบดูแล้ว เรียนตามตรงว่ายากที่จะ
ให้คำตอบ เพราะไม่สามารถวัดเปรียบเทียบออกมาได้เป็นตัวเลข และเท่าที่ได้ลองจับและออกแรงกระทำกับปุ่ม
แล้วนั้น ก็ไม่รู้สึกว่าแตกต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ หรือเรียกได้ว่าแทบจะเป็นฟีลลิ่งเดียวกันเลยก็ว่าได้ ที่ว่า
กันว่าชุดฐานปุ่มและปุ่มของรองเท้าคู่นี้ ดูแข็งแรงขึ้น อาจจะเป็นเพราะวัสดุฐานปุ่มที่ใช้สีดำทึบ จึงทำให้มัน
ดูหนาและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้
เดี๋ยวก่อนที่จะกล่าวจบบทความนี้ ผมมีเรื่องที่สังเกตได้สำหรับ ไนกี้ Mercurial Vapor IX เมื่อพลิกมาดู
ที่ป้ายบอกไซด์และแหล่งผลิตของรองเท้ารุ่นนี้กัน อันดับแรกเลย ป้ายบอกไซด์รองเท้านั้นย้ายจากข้าง
ตัวรองเท้าด้านใน มาอยู่ที่ใต้ลิ้นรองเท้าแล้วนะครับ แต่ที่พิเศษไปว่านั้นคือ "Made in Bosnia !!!!!!!!!!"
ซึ่งตอนนี้ผมได้รับการยืนยันจากเพื่อนๆ สมาชิกหลายท่านที่ชิงตัดหน้าครอบครองรองเท้ารุ่นนี้ไปก่อนแล้ว
ว่า Mercurial Vapor IX ของเขาก็ Made in Bosnia เหมือนกัน และ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่พบ Made in China
เลย นั่นจึงหมายความได้ว่า ไนกี้ Mercurial Vapor IX ได้ถูกย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนแล้ว
ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ น่าจะถูกใจบรรดาคนเล่นรองเท้าฟุตบอลเป็นยิ่งนัก !!
Feeling
ได้เวลามาลองสวมใส่ Mercurial Vapor IX สีพระอาทิตย์ตกดินเสียที แต่ก่อนที่จะลงสนามทดสอบการ
ใช้งาน ผมจะขอมาวิเคราะห์ฟีลลิ่งเดียวกับการสวมใส่ เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการเลือกขนาดไซด์รองเท้า
ที่เหมาะสมกับเท้าก่อนดีกว่า แน่นอนว่า 9.5 US , 8.5 UK , 43 FR หรือ 27.5 cm คือขนาดไซด์มาตรฐานที่
ผมได้ยึดถือเป็นหลักสำหรับการทดสอบมาโดยตลอด
หลังจากที่สวม Mercurial Vapor IX เข้าไปที่เท้า โดยเท้าของผมได้สวมถุงเท้าฟุตบอลมาตรฐานของไนกี้
เอาไว้อยู่ ทำการดึงกระชับแนวร้อยเชือกให้ดึงแน่นแล้วก็ผูกปมเชือกรองเท้าแบบหูกระต่างตามปกติ ฟีลลิ่ง
แรกเลยที่รู้สึกได้ก็คือบริเวณหุ้มข้อและส้นเท้านั้นใส่สบายขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นเดิม Mercurial Vapor VIII นิดนึง
แต่จะเห็นได้ว่าเกิดช่องว่างระหว่างตัวรองเท้ากับข้อเท้าให้ได้เห็นบ้าง..เหมือนเดิม
และแม้ว่าจะดึงกระชับแนวร้อยเชือกให้แน่นหนาเพียงใด แต่ด้วยความที่หนังของตัวรองเท้านั้นหนาขึ้นกว่า
เจเนอเรชั่นก่อน จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตัวรองเท้าลู่กระชับเข้ารูปกับทรงของเท้าได้น้อยลง เห็นได้จากการที่มี
ส่วนข้างเท้าด้านนอกบางส่วนมีลักษณะนูนเป็นลอนขึ้นมา และเกิดช่างว่างระหว่างลิ้นรองเท้าด้านในขึ้น
แต่ในเรื่องของฟีลลิ่งความกระชับ ไนกี้ Mercurial Vapor IX ยังให้การบีบกระชับบริเวณตอนกลางของเท้า
ได้ดีมากเหมือนเดิม แม้ลักษณะเท้าของผมเองนั้นจะเป็นลักษณะของคนเท้าบาน หน้าเท้ากว้างตามาตรฐาน
ของคนไทย หลังเท้ามีโหนกนูนสูงขึ้นมาระดับกลางๆ ดังนั้นในเรื่องของฟีลลิ่งการเข้ารูปเท้าทางด้านกว้าง
นั้นถือว่าสามารถเลือกรองเท้าตรงไซด์ได้ ถ้าลดไซด์ลงไปกว่านี้ คงจะแน่นจนปวดหลังเท้าและฝ่าเท้ามาก
เกินควร
ทางด้านยาวยังต้องยอมรับว่า ไนกี้ Mercurial Vapor IX นั้นมีขนาดโอเวอร์ไซด์ตามยาวอยู่ประมาณ 0.5 cm
เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน จะสังเกตได้จากพื้นที่หัวรองเท้าที่เหลือมากพอสำหรับการวางนิ้วหัวแม่มือลงไปได้ตาม
ภาพด้านบน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นการโอเวอร์ไซด์ตามปกติของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ตามลักษณะของรองเท้าฟุตบอลที่มีรูปร่างรูปทรงเรียวยาว และแม้หัวรองเท้าจะดูเรียวยาว แต่นิ้วเท้าทั้ง 5 นิ้ว
ของผมก็วางตัวเรียงกันตามปกติ แบบแน่นพอดีกับพื้นที่ด้านใน ไม่โดนบีบมากเกินไปจนต้องมาวางตัวขี่กัน
โดยภาพรวมยังคงต้องยอมรับว่า ไนกี้ Mercurial Vapor IX เป็นรองเท้าฟุตบอลรุ่นหนึ่งที่ใส่เข้าไปที่เท้า
แล้วเข้ารูปสวยงามที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ สำหรับคำแนะนำในการเลือกไซด์รองเท้ารุ่นนี้ สำหรับใครที่เคย
ใช้งานรองเท้าซีรี่ย์นี้มาก่อน โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นที่แล้ว Mercurial Vapor VIII ก็สามารถเลือกไซด์เดิม
ได้เลยโดยไม่ต้องไปลอง แต่ถ้าใครยังไม่เคยคบหาใช้งานรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้มาก่อน ก็จะแนะนำว่า
น่าจะสามารถเลือกซื้อรองเท้ารุ่นนี้แบบตรงไซด์คงจะดีกว่า
โดยเฉพาะท่านใดที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีลักษณะหน้าเท้ากว้างตามปกติของคนไทย ไม่ได้เรียวยาวสวยงาม
เหมือนเท้าไก่ ก็เลือกตรงไซด์ไปเลยแม้ว่าหัวรองเท้าจะเหลือนิดนึง แต่ทางด้านข้างก็แน่นพอที่จะบีบล็อคไม่ให้
เท้าเกิดการลื่นไถลหรือเคลื่อนที่ไปยังหัวรองเท้าที่เหลือพื้นที่อยู่ แต่สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองเท้าเรียวยาวมากๆ
ก็อาจจะลองลดไซด์ลงได้ครึ่งไซด์ แต่อันนี้คงต้องขอให้ไปลองใส่จนกว่าจะแน่ใจว่าด้านข้างไม่บีบมากจนเกินไป
ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอาการปวดฝ่าเท้าและหลังเท้าได้เวลาใช้งาน
Testing
ไหนๆ ก็เลือกขนาดไซด์รองเท้าที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะลงสนามทดสอบศักยภาพการใช้งานของ
เจ้าซุปเปอร์คาร์แห่งสนามฟุตบอล ไนกี้ Mercurial Vapor IX เสียที มาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์ยังคง
ยึดในรูปแบบเดิม แบ่งเป็นหัวข้อแต่ละหัวข้อ มีการดึงเอารองเท้าฟุตบอลรุ่นที่เกี่ยวข้องมาพูดเปรียบเทียบ
กับบ้าง สำหรับสนามที่ใช้ในการทดสอบยังคงเป็นสนามฟุตบอลหญ้าเทียม Winning 7 ย่านปิ่นเกล้าที่เดิม
เพื่อเป็นการควบคุมให้คุณภาพของสนามในการทดสอบเป็นสนามเดียวกันกับการทดสอบรองเท้าฟุตบอล
รุ่นอื่นๆ มาร่วมกระทืบคันเร่งของรองเท้าฟุตบอลสัญชาตญาณรถซุปเปอร์คาร์ไปด้วยกันเลย
ความสบายในการสวมใส่
ก่อนที่จะทดสอบในด้านของการเล่นกับลูกบอล เรามาดูกันที่เรื่องของความสบายในการสวมใสกันก่อน
ดีกว่า กับจังหวะการลองเคลื่อนที่ไปบนพื้นสนามโดยไม่เน้นความเร็ว เพื่อดูปฏิกิริยาที่ตัวรองเท้ากระทำกับ
เท้าเป็นหลัก
หลังจากที่ได้ลองดูแล้วพบว่า ไนกี้ Mercurial Vapor IX ให้ความสบายบริเวณหุ้มส้นและข้อเท้าที่ใส่
สบายขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นเดิมเล็กน้อย ไม่บีบมากจนอึดอัด และก็ไม่หลอมจนเกินไป อาจจะเพราะมีช่อง
ว่างเกิดขึ้นเล็กน้อยระหว่างข้อเท้ากับตัวรองเท้า ส่วนของหุ้มส้นก็เป็นอีกจุดหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าอาการกัดส้น
นั้นลดน้อยลงไปแม้จะเป็นการใช้งานครั้งแรกสุดก็ตาม อย่างไรก็ตาม เรื่องของอาการกัดส้นเท้าผมยังไม่ขอ
ฟันธงว่ามันหายไปจากรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ไปถาวรแล้ว เพราะถ้าจับเอามานั่งพินิจพิเคราะห์เปรียบเทียบกับ
Mercurial Vapor VIII มันก็เป็นหุ้มส้นแบบเดียวกันเป๊ะ บางทีสาเหตุที่ส้นเท้าของผมไม่รู้สึกว่าถูกกัด อาจจะ
เป็นเพราะส้นเท้าผมได้ถูก อาดิดาส adiZero F50 2013 ซึ่งผมรองเท้าฟุตบอลที่เพิ่งรีวิวทดสอบไปก่อนหน้านี้
กัดจนด้านและชินไปแล้วก็เป็นได้
เมื่อถึงจังหวะที่ต้องเคลื่อนที่บนพื้นสนามอย่างต่อเนื่อง ในครั้งแรกที่สวมใส่เจ้า Mercurial Vapor IX
ก็ได้เจอกับอาการบีบข้างเท้าและหลังเท้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังเท้าที่ถูกแรงบีบกดจนรู้สึกได้
ถึงอาการปวดเลยทีเดียว ซึ่งก็รวมถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนดังกล่าวด้วย พบว่าความร้อนสะสมด้านใน
รองเท้านั้นมีมากขึ้นๆ ในขณะที่การระบายความร้อนออกมานั้นดูจะทำได้ยากกว่าเดิม สาเหตุตรงนี้คงมา
จากลักษณะของหนังรองเท้าที่มีชั้นหนังที่หนาขึ้น เป็นผลให้การปรับเข้ารูปกับลักษณะเท้าของผู้สวมใส่
ในการใช้งานครั้งแรก นั้นยังต้องอาศัยเวลาการใช้งานไปสักพัก พอจะกะคร่าวๆ ได้ว่า Mercurial Vapor IX
จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับเข้ารูปกับทางของผู้สวมใส่นานกว่า Mercurial Vapor VIII ถึง
สองเท่าตัว ซึ่งผมต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 30 - 40 นาที สำหรับการสวมใส่ในครั้งแรก เพื่อให้ตัวรองเท้า
สามารถปรับตัวเข้ารูปกับเท้าของผมได้ หลังจากนั้นอาการทั้งหมดก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ฟีลลิ่งที่ส่งผลต่อความสบายในการสวมใส่ของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX โดยรวมแล้วยังถือว่าไม่แตกต่าง
จากเจเนอเรชั่นที่แล้ว ดีขึ้นในเรื่องของหุ้มข้อเท้าและหุ้มส้นที่สบายขึ้นนิดหน่อย แต่กลับต้องอาศัยระยะเวลา
การใช้งาน เพื่อให้ตัวรองเท้าปรับรูปร่างให้เข้ากับรูปเท้าของผู้สวมใส่ที่มากขึ้น เพื่อให้อาการบีบกลางเท้า
และปวดหลังเท้าหายไป
คะแนน
- ความสบายในการสวมใส่ 6/10
การรองรับแรงกระแทก
การทดสอบระบบรองรับแรงกระแทกจากพื้นสนามของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX ซึ่ง
ปัจจัยหลักอยู่ที่แผ่นรองพื้นด้านในรองเท้า นั้นผมแทบจะยกบทวิเคราะห์วิจาณ์มาจากเดิมทั้งหมดได้เลย
เพราะไนกี้เองไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรืออัพเกรดอะไรให้กับแผ่นรองพื้นที่ผลิตจากโฟม EVA ซึ่งไร้วัสดุหรือ
เทคโนโลยีพิเศษที่จะช่วยรองรับหรือผ่อนแรงกระแทกจากพื้นสนามเลย ทำให้ความสามารถในการรองรับ
และผ่อนแรงกระแทก เมื่อวิเคราะห์เฉพาะชุดแผ่นรองพื้น ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร
มากมายนัก
ในขณะที่ปุ่มรองเท้าแบบ FG ซึ่งมีจำนวนปุ่มที่น้อยมาก เพียงแค่ 7 ปุ่ม หน้าตัดปุ่มแคบ ก็ส่งผลให้การ
กระจายน้ำหนักและสมดุลนั้นน้อยกว่ารองเท้าฟุตบอลที่มีปุ่ม FG รูปแบบอื่นๆ ทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้ามีจังหวะ
การเผลอกระแทกลงน้ำหนักทั้งตัวลงไป จะรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนจากพื้นสนามที่สะท้อนขึ้นกลับมาได้เลย
ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องในกรณีที่เกิดว่าผู้สวมใส่เกิดฟิตจัด วิ่งพล่านทั่วสนามไม่มีหยุดเลย ทีนี้จะเริ่ม
รู้สึกได้ถึงอาการล้าของแข้งขาและข้อเข่าที่มาเร็วกว่าชาวบ้านเขา
ไนกี้คงต้องยืดอกยอมรับกันตรงๆ ว่า เจ้า Mercurial Vapor IX รองเท้าซุปเปอร์คาร์รุ่นนี้ ช่างมีช่วงล่าง
ที่ให้อารมณ์แข็งๆ ไม่ต่างจากรถสปอร์ต การรองรับแรงกระแทกยังทำได้ไม่ดีนัก เมื่อมองเปรียบเทียบกัน
ในคลาสทั้งหมด คงต้องลงความเห็นว่าอาดิดาส adiZero F50 2013 ที่ใส่แผ่นรองพื้นแบบ Comfort นั้นมี
ศักยภาพในการผ่อนแรงกระแทกจากการเคลื่อนที่ที่เหนือกว่าพอสมควรเลยล่ะ ทีนี้...ถ้าคุณผู้อ่านยังยืนยัน
ว่าตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจยังเป็น Mercurial Vapor IX อยู่ แต่ก็คำนึงถึงการรองรับและผ่อนแรงกระแทก
ด้วย อาจจะเพราะข้อเข่าไม่ค่อยดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คงต้องคำนึงถึงสนามฟุตบอลที่ท่านใช้งานเป็นหลัก
แล้วล่ะ ไอพวกสนามฟุตบอลหญ้าเทียมต้นทุนถูก เหมือนเอาพรมหญ้าเทียมมาปูลงบนพื้นคอนกรีตแข็งๆ
โดยไม่มีการลงพื้นหลายชั้นตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ถือเป็นอะไรที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้งานสนาม
ประเภทนี้ไปเลย หรือไม่ก็หนีไปเล่นสนามฟุตบอลหญ้าจริงที่มีหญ้าฟูๆ นุ่มๆ เต็มพื้นที่ ก็จะทำให้รองเท้า
ฟุตบอลรุ่นนี้ไม่ด้อยในเรื่องของระบบการรองรับแรงกระแทกสักเท่าไหร่
คะแนน
- การรองรับแรงกระแทก 6/10
การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม
มาต่อกันที่หัวข้อการทดสอบการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนามซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ
รองเท้าฟุตบอลสายความเร็วซีรี่ย์นี้มาโดยตลอด สำหรับเจเนอเรชั่นนี้จะมีอะไรที่แตกต่างจากเดิมหรือไม่ ไป
ทดสอบพร้อมๆ กันเลย
ขอเปิดที่ประเด็นของลักษณะตัวรองเท้า ที่มีผิวแบบตะปุ่มตะปั่มคล้ายผิวของลูกกอล์ฟ โดยตามหลักของ
อากาศพลศาสตร์แล้ว ผิวแบบนี้จะช่วยลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของอากาศ ทำให้การเคลื่อนที่ของ
วัตถุสามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น ตามที่ผมได้ยกข้อมูลทางทฤษฎีมาอธิบายคร่าวๆ ตั้งแต่ช่วง "Hand On!"
ไปแล้ว ทีนี้ เรามาลองใช้งานจริงเลยว่าจะมีผลต่อความเร็วของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX
คู่นี้หรือไม่
หลังจากที่ลองทดสอบใช้งานดูแล้ว พบว่าผิวสัมผัสลักษณะแบบคล้ายลูกกอล์ฟเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้
การเคลื่อนที่นั้นทำได้รวดเร็วมากขึ้นจนรู้สึกได้ หรือบางทีอาจจะเรียกว่าไม่แตกต่างจากผิวเรียบๆ แบบ
เดิมของ Mercurial Vapor VIII เลยก็ว่าได้ แม้ว่าตามหลักการของอากาศพลศาสตร์นั้นถูกพิสูจน์ออกมา
จนเป็นทฤษฎีบทไปเรียบร้อยแล้ว ว่าลักษณะพื้นผิวของวัตถุแบบนี้จะช่วยให้การเคลื่อนที่ทำได้รวดเร็วขึ้น
แล้วทำไมกับรองเท้าฟุตบอลถึงไม่เป็นแบบนั้น !? ก็เพราะว่าสิ่งที่เคลื่อนที่ไปกับรองเท้าฟุตบอลด้วย และถือ
เป็นเป้าที่มีขนาดใหญ่กว่าก็คือ "ตัวคน" ยังไงล่ะครับ ตัวคนนี่แหละที่ยังคงต้านลมเหมือนเดิม และเป็นเป้า
ที่มีขนาดใหญ่กว่ารองเท้ามากๆ ต่อให้รองเท้าจะลดแรงเสียดทานของอากาศลงได้มากแค่ไหน แต่ตัวคน
ก็ไม่สามารถลดแรงต้านของอากาศลงได้ ดังนั้นเรื่องของอากาศพลศาสตร์ในการเคลื่อนที่ จะไม่ได้ช่วย
ให้ไนกี้ Mercurial Vapor IX ทำให้คนสวมใส่รองเท้ารุ่นนี้มีสปีดต้นที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
แต่ถ้ามองเฉพาะการเคลื่อนที่ของรองเท้า เช่น จังหวะการสับขาหลอก หรือคลึงบอลไป-มา เพื่อหลอกล่อ
คู่แข่ง ตรงจุดนี้แม้จะไม่ได้มีการทดสอบตรวจวัดออกมาเป็นตัวเลข แต่จากการทดลองใช้งานมาแล้ว ผม
มีความรู้สึกได้ว่าผิวแบบลูกกอล์ฟของตัวรองเท้า Mercurial Vapor IX ส่งผลให้การเคลื่อนที่เฉพาะเท้า
นั้นทำได้ว่องไวขึ้นกว่าเดิมจริง แม้จะไม่ได้มากมายจนรู้สึกแตกต่างอะไรชัดเจน แต่ก็ถือว่ามีผลไปในด้าน
ที่ดีสำหรับรองเท้าประเภทความเร็วเช่นนี้
ในเรื่องการตอบสนองของชุดพื้นและช่วงล่างที่ยังคงมาในรูปแบบเดิมทั้งหมด ทำให้ Mercurial Vapor
IX เป็นรองเท้าฟุตบอลที่มีการยึดเกาะพื้นสนามที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า หรือเปลี่ยน
ทิศทางแบบฉับพลันไปทางซ้าย-ขวา หน้า-หลัง ปุ่มรองเท้าทุกปุ่มต่างก็ถูกออกแบบมาให้มีหน้าที่เฉพาะตัว
เมื่อทำงานร่วมกัน จึงสามารถรองรับการเคลื่อนที่แบบ 360 องศา ได้เป็นอย่างยอดเยี่ยม นี่ยังรวมถึงจำนวน
ปุ่มรองเท้าที่มีเพียงแค่ 7 ปุ่ม กับลักษณะพื้นที่หน้าตัดของปุ่มแต่ละปุ่มที่แคบ วางตัวตามแนวยาว ปุ่มรองเท้า
สามารถจิกลงไปเกาะยังพื้นสนามได้จมมิด ทำให้การยึดเกาะกับพื้นสนามทำได้อย่างสุดยอด
โครงสร้างของชุดพื้นก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้การเคลื่อนที่นั้นทำได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะลักษณะ
ตอนกลางของชุดพื้นที่มีโครงสร้างนูนขึ้นมา ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้แรงดีดและการสปริงของฝ่าเท้า
นั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริง และเมื่อรวมกับวัสดุประเภทไฟเบอร์กลาสที่มีส่วนผสม
ของคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้คุณสมบัติของชุดพื้นทั้งแผง มีความแข็ง สามารถดีดคืนตัวได้ดีเมื่อมีการ
โค้งงอจากการวิ่ง
สรุปได้ว่าการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนามยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญของรองเท้า
ฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX ที่เหนือว่ารองเท้าฟุตบอลรุ่นอื่นๆ ซีรี่ย์อื่นๆ ทั้งหมดที่ทำตลาดอยู่ ณ
ตอนนี้ แม้ว่าเรื่องของตัวเลขน้ำหนักตัวจะสูงกว่า อาดิดาส adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ส่งผลให้ความเร็วในการสปรินซ์ออกตัววิ่งไปด้านหน้านั้นสู้ไม่ได้ แต่ถ้ามององค์ประกอบทั้งหมด
รองเท้าสีโดดเด่นจากไนกี้คู่นี้กลับให้ศัยกภาพการเคลื่อนที่ที่ดีกว่าในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยน
ทิศทางแบบฉับพลับ สามารถรองรับพิสัยการเคลื่อนที่แบบรอบตัว 360 องศา การยึดเกาะกับพื้นสนามที่
ยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งส่งผลดี ต่อการสับขาหลอกล่อคู่แข่ง ตามแบบฉบับที่รองเท้าฟุตบอลประเภทนี้ควร
จะเป็น
คะแนน
- การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม 10/10
ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน
ในเมื่อ Mercurial Vapor IX เป็นรองเท้าฟุตบอลที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนที่ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ยิ่ง
ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ฟีลลิ่ง ความกระชับและความมั่นใจเมื่อใช้งาน เพราะต้องไม่ลืมว่ารองเท้า
ฟุตบอลประเภทที่ใช้เมื่อเน้นการเคลื่อนที่เป็นจุดแข็ง ความกระชับที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในแต่ละก้าว
ที่สปรินซ์ออกตัววิ่ง จะทำให้เป็นรองเท้าประเภทความเร็วที่สมบูรณ์แบบ
สำหรับความกระชับหลักๆ ของ Mercurial Vapor IX นั้นจะอยู่ที่ตอนกลางของเท้า ทั้งแรงบีบกระชับ
ทางด้านข้าง และแรงกดลงบนหลังเท้า ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้สวมใส่เน้นการเคลื่อนที่โดยใช้
ปลายเท้าสปรินซ์ออกตัว ในขณะที่หุ้มข้อเท้าและส้นที่เหมือนจะสบายขึ้น ก็ไม่ได้มีผลด้านลบต่อการสร้าง
ความมั่นใจ ตรงกันข้ามเลย มันกลับช่วยลดความอึดอัดหรือความไม่สบาย ส่งผลให้เราไม่ต้องมากังวล
และเคลื่อนที่ได้อย่างมั่นใจ ในขณะที่ความกระชับบริเวณหุ้มข้อและส้นเท้าก็ถือว่ามาในระดับที่กำลังดี
ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเด่นของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX ได้อย่างนึงเลย
อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเข้ารูปกระชับกับเท้าของ Mercurial Vapor IX ยังทำได้ไม่แนบกระชับ
ทุกสัดส่วน หรือดีเท่ากับเจเนอเรชั่นเดิมอย่าง Mercurial Vapor VIII โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น
Mercurial Vapor VIII CR ที่หนังของรองเท้าทั้งสองนั้นบางและนิ่ม ทำให้เข้ารูปกับเท้าได้ดีกว่านี้
ในขณะที่ Mercurial Vapor IX จะเกิดรอยยับของหนังหลังจากการใช้งานมากกว่าด้วย
เรื่องของผิวหน้าสัมผัสของแผ่นรองพื้นที่ไม่ได้เคลือบสารดึงดูดเหมือนกับผิวหน้าสัมผัสแผ่นรองพื้นของ
CTR 360 Maestri III, T90 Laser IV หรือ Tiempo Legend IV ทำให้รู้สึกได้ว่ามันไม่สามารถดึงดูด
กับฝ่าเท้าที่สวมถุงเท้าได้แบบแน่นสนิท แต่เนื่องจากตอนกลางของตัวรองเท้าที่บีบล็อคกระชับมากๆ ทำให้
ปัญหาการสไลด์หรือลื่นไถลไปมาของเท้า แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย แม้ว่าพื้นที่หัวรองเท้าจะเหลือก็ตาม
โดยภาพรวมยังถือได้ว่า ฟีลลิ่ง ความกระชับและความมั่นใจเมื่อใช้งานของเจเนอเรชั่นนี้ แทบจะไม่
แตกต่างจากเจเนอเรชั่นเดิมสักเท่าไหร่เลย ไนกี้ Mercurial Vapor IX ยังคงเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ช่วยสร้าง
ความกระชับและความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับตัวตนของการเป็นรองเท้าประเภทความเร็วที่ต้องเน้น
ความมั่นใจได้เป็นอย่างดี
คะแนน - ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน 9/10
การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล
เข้าสู่การทดสอบการเล่นกับลูกฟุตบอลบ้าง โดยจะเริ่มต้นในประเด็น การจับสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอล
ก่อน หลายคนน่าจะอยากรู้ว่าลักษณะผิวหน้าสัมผัสของ Mercurial Vapor IX ที่มีการเคลือบผิวด้วยสารดึงดูด
บางอย่าง ทำให้หน้าผ้าดูเงางาม สะท้อนแสง แต่ก็แฝงไปด้วยความเหนียว (เมื่อเอารองเท้ามาถูกัน) และ
พื้นผิวแบบขรุขระคล้ายลูกกอล์ฟ จะช่วยเพิ่มความหนึบในการจับลูกบอลได้ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบ
กับผิวหน้าสัมผัสสากๆ ของเจเนอเรชั่นที่แล้วจะเป็นอย่างไร
หลังจากที่ได้ลองใช้ Mercurial Vapor IX จับบอลแรกมาหลายครั้งแล้ว พบว่าสารที่เคลือบผิวบริเวณ
หน้าสัมผัสของรองเท้า ทั้งข้างด้านในและด้านนอก แรกๆ ยังพอที่จะให้การจับบอลแรกที่หนึบเท้าอยู่บ้าง
แต่ดูจะผิดคาดไปหน่อย เพราะการจับบอลตามทิศทางเฉือนนั้นมีการแฉลบหรือลื่นให้ได้เห็น จึงดูจะไม่ดี
ขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้วที่ลักษณะของหนังไม่ได้มีการเคลือบผิว ในขณะที่ Mercurial Vapor VIII CR
ซึ่งมีลักษณะหน้าผ้าสัมผัสที่แตกต่างออกไป นั้นสามารถที่จะจับบอลได้หนึบกว่าพอสมควร เมื่อลูกบอลถูก
ส่งมาด้วยความแรงในทิศทางตามยาว
แต่ถ้าดูที่ความนุ่มนวลของการจับบอลหรือดูดบอลลง กลับพบว่า Mercurial Vapor IX นั้นทำได้ดี
ขึ้น คงจะเป็นเพราะลักษณะของหนังรองเท้าที่หนากว่าเดิม ทำให้ชั้นหนังมีความหนา มีระยะในการยุบตัว
และผ่อนแรงมากขึ้น ดังนั้นถ้าลูกบอลถูกส่งมาตรงๆ หรือลอยลงมาให้เราใช้หลังเท้าดูบอลลงตรงๆ รองเท้า
รุ่นนี้จะสามารถจับบอลแรกได้ในระดับที่ดีพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ความนุ่มในการจับบอลแรกของรองเท้ารุ่นนี้ก็ยังคงไม่สามารถต่อกรกับหนังวัวแท้หนานุ่ม
ของอาดิดาส adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังแท้ ได้อยู่ดี รายนั้นให้จากจับสัมผัสบอลแรกที่นุ่มเท้าเกิน
ความเป็นรองเท้าสายพันธุ์ความเร็วไปแล้ว แต่แน่นอนว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับรองเท้าประเภทหนัง
สังเคราะห์เหมือนกัน อย่าง adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ ในเรื่องของการจับบอลแรก
ไนกี้ Mercurial Vapor IX ชนะใสๆ
การรับและส่งบอลด้วยพื้นที่ข้างเท้าด้านในของรองเท้าฟุตบอลสายความเร็วรุ่นนี้ ก็ถือว่าได้ทำดี
กว่าเดิม โดยเฉพาะจังหวะการรับบอลที่มาในทิศทางตรงๆ ด้วยพื้นที่ข้างเท้าด้านในนั้นถือได้ว่าทำได้นุ่ม
เท้าขึ้น เนื่องจากหนังที่หนาขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับการแปส่งบอล ก็สามารถทำได้หนักแน่นมีน้ำหนัก
ไม่ใช่อารมณ์ป้อกแป้กเหมือนกับ adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ ในขณะที่พื้นที่หน้าสัมผัส
ระหว่างข้างเท้าด้านในกับผิวของลูกบอลก็ทำได้ค่อนข้างจะสอดรับกัน ทำให้โอกาสที่จะแปส่งบอลแป้ก
ก็น้อยลงตามไปด้วย เป็นผลดีต่อการควบคุมทิศทางการแปส่งบอลไปทางด้านหน้า ส่วนการแปส่งบอล
ให้ติดไซร้โค้งนิดๆ ยังพบว่าผิวสัมผัสบริเวณข้างเท้าด้านในของ Mercurial Vapor IX ไม่สามารถให้
แรงเฉือนกับลูกบอลได้ดีเท่ากับ adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ และ Mercurial Vapor VIII
CR เนื่องจากสารเคลือบผิวที่ให้สัมผัสหนึบๆ นั้น มีเฉพาะส่วนหน้าบริเวณหัวรองเท้า เท่านั้น
เอาเป็นว่ารองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor IX ซึ่งเป็นรองเท้าฟุตบอลสายสปีด นั้นสามารถทำคะแนน
ได้ดีในการทดสอบด้านนี้ จุดเด่นหลักๆ จะอยู่ที่ความหนาของหนังรองเท้า ทำให้การสัมผัสบอลทำ
ได้นุ่มนวล เนื่องจากหนังมีระยะและเวลาในการยุบตัวตอบสนองในจังหวะที่ลูกบอลกระทบ แต่ความเหนียว
ของผิวสัมผัสที่จะดึงดูดกับลูกฟุตบอล โดยเฉพาะในจังหวะที่ลูกบอลไม่ได้มาตรงๆ พบว่ายังทำปฏิกิริยาดึงดูด
กับลูกบอลได้ไม่ดีเท่า Mercurial Vapor VIII CR และ adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ นะ
เมื่อหักลบข้อดีข้อด้อย ก็สรุปลงคะแนนให้ที่ 8 เต็ม 10 เท่ากับ Mercurial Vapor VIII CR ไปแล้วกัน
คะแนน
- การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล 8/10
การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า
อีกหนึ่งจุดแข็งมากๆ ของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ก็คือการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า ซึ่งก็รวมถึงเจเนอเรชั่น
Mercurial Vapor IX นี้ด้วย เพราะหลังจากที่ผมมีโอกาสได้ลองควบเจ้าซุปเปอร์คาร์แห่งสนามฟุตบอล
สีเจ็บรุ่นนี้เลี้ยงพาบอลตะลุยเข้าจู่โจมคู่แข่ง ก็พบว่ายังมีศักยภาพในการควบคุมการเลี้ยงพาบอลที่ดีมาก
ที่สุดเหมือนเดิม
รู้สึกได้ว่าอานิสงค์ของหนังรองเท้าที่หนานุ่มขึ้น ก็เป็นผลดีในเรื่องของการกะเกณณ์หรือควบคุมน้ำหนัก
ของการแตะเลี้ยงบอลแต่ละครั้ง สามารถทำได้อย่างเชื่องเท้ามากขึ้นกว่าหนังบางๆ ของ Mercurial Vapor
VIII (ส่วน adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ คงไม่ต้องพูดถึงนะ...) การแตะบอลแต่ละครั้ง
แทบจะไม่กระเด้งกระดอนหลุดจากการควบคุม ทำได้ง่ายขึ้น นอกจากว่าจะตั้งใจแตะบอลให้ห่างตัวแล้ว
ใช้ความเร็ววิ่งตาม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อรวมกับศักยภาพการเคลื่อนที่ของชุดพื้นและปุ่มรองเท้า ทำให้ไนกี้ Mercurial Vapor IX ดูจะอันตราย
มากสำหรับการใช้งานเพื่อเลี้ยงบอลซอกแซก ซ้าย-ขวา แบบค่อยๆ แตะบอลให้ติดเท้าไปทีละครั้งๆ มากกว่า
การแตะบอลยาวๆ แล้ววิ่งสปีดตามไปเล่นบอลเหมือนกับ adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์
เรื่องของการสัมผัสและควบคุมทิศทางของลูกบอล ผมยังรู้สึกได้ว่าผิวสัมผัสที่มีสารเคลือบผิวและลักษณะ
ตะปุ่มตะปั่มเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสบอล ยังไม่ทำให้ศักยภาพการควบคุมหรือเปลี่ยนทิศทางลูกบอลที่เลี้ยงอยู่ที่
เท้าด้วยความเร็วของ Mercurial Vapor IX ดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก เอาจริงๆ ยังรู้สึกได้ว่าความหนึบที่ผิว
รองเท้ากระทำกับผิวของลูกบอลนั้นอาจะไม่ได้หนึบเว่อร์ ถ้าหากเอาลูกบอลมาถูกับหน้าสัมผัสของรองเท้า
น่ะนะ แต่เนื่องจากหนังที่หนาและนุ่มขึ้น ทำให้มีระยะในการยุบตัว และมีเวลาที่ผิวของรองเท้าจะสัมผัส
ดึงดูดกับลูกบอลมากขึ้น พอเวลาใช้งาน(ที่เท้า)จริง ศักยภาพการปรับเปลี่ยนทิศทางของลูกบอลที่เลี้ยง
อยู่ที่เท้า จึงทำได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม ลักษณะรอยยับของตัวรองเท้าที่มีลักษณะนูนขึ้นมาบ้าง ไม่เรียบลู่เข้ารูปกับเท้าเหมือน
เจเนอเรชั่นก่อน โดยเฉพาะส่วนของหลังเท้าที่ใกล้กับแนวร้อยเชือก จึงอาจจะมีจังหวะที่มารบกวนการ
แตะเลี้ยงบอลบ้างพอประปราย และด้วยหนังรองเท้าที่หนาขึ้นกว่าเดิม จะทำให้ฟีลลิ่งการสัมผัสกับลูกบอล
แบบบางๆ เดิมๆ เต็มเท้า เสียอรรถรสไปบ้าง
ไปๆ มาๆ แล้วความหนาของหนังรองเท้าที่เพิ่มมากขึ้นของ ไนกี้ Mercurial Vapor IX คู่นี้ ก็ส่งผลทั้ง
ในแง่ดีและไม่ดี แง่ดีคือทำให้รองเท้ารุ่นใหม่ล่าสุดจากไนกี้รุ่นนี้ แตะเลี้ยงบอลได้นุ่มและเชื่องเท้ามากขึ้น
การกะเกณฑ์น้ำหนักของการแตะบอลแต่ละครั้งนั้นไม่ต้องอาศัยความเคยชินก็สามารถทำได้ดี ส่วนการ
ควบคุมทิศทางของลูกบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า แม้ไนกี้จะโปรโมทโฆษณาลักษณะของหน้าสัมผัสแบบขรุขระ
เหมือนลูกกอล์ฟ เพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัส แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชัดเจนว่ารองเท้ารุ่นนี้สามารถเปลี่ยนทิศทางการ
ควบคุมลูกบอลในขณะที่เลี้ยงด้วยความเร็ว ได้ดีกว่าเดิมสักเท่าไหร่ หนังรองเท้าที่หนาขึ้น และมีรอยยับ
มากกว่าเดิมนิดหน่อย(เมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว) ทำให้ฟีลลิ่งการเลี้ยงสัมผัสบอล บางๆ เดิมๆ นั้นหายไป
เล็กน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นยังคงต้องยอมรับอย่างเต็มปากว่า รองเท้าฟุตบอลไนกี้ ไนกี้ Mercurial Vapor IX
ถือเป็นรองเท้าฟุตบอลที่มีศักยภาพในการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าได้ยอดเยี่ยมสนุก และเมามันส์มากที่สุด
ในปัจจุบัน ไม่เชื่อลองไปดู คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เนย์มาร์ สิ...
คะแนน
- การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า 10/10
ความสามารถในการยิงประตูและเปิดบอลโด่ง
มาต่อกันที่การทดสอบการยิงประตูและเปิดบอลโด่งของไนกี้ Mercurial Vapor IX ดูซิว่าจะมีศักยภาพ
ในการเอาชนะคู่แข่งในจังหวะสุดท้ายด้วยการทำประตูดีหรือไม่ หากย้อนกลับไปที่ Mercurial Vapor VIII
ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่แล้ว พบว่าข้อด้อยยังอยู่ที่การรักษาสุขภาพเท้า การลดแรงสะท้อนจากการซัดเต็มแรง
ที่ยังมีอาการระบมหลังเท้ากลับมา จึงน่าสนใจว่ารองเท้ารุ่นใหม่ล่าสุดจะทำได้ดีกว่าเดิมหรือเปล่า
ก่อนอื่นมาดูเกี่ยวกับการส่งถ่ายแรง ซึ่งพบว่ารูปแบบและลักษณะแนววางปุ่มของ Mercurial Vapor IX
นั้นสามารถจิกลงไปยังพื้นสนามได้เป็นอย่างดี จำนวนปุ่มรองเท้าที่น้อย ช่วยให้การยึดพื้นสนามทำได้อย่าง
มั่นคงมากๆ โดยเฉพาะปุ่มแนวขวางตรงกลางฝ่าเท้าที่ไม่ได้ช่วยแค่การสปรินซ์ตัววิ่งไปด้านหน้า แต่ยัง
ช่วยล็อคไม่ให้เกิดการลื่นไถล ทำให้การวางเท้าหลักนั้นทำได้อย่างมั่นคง ในขณะที่โครงสร้างของชุดพื้น
ก็ให้สปริงฝ่าเท้าได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้การเอี้ยวตัวและส่งแรงไปยังขาข้างที่จะเตะทำได้อย่างเป็น
ธรรมชาติ
เมื่อการส่งผ่านแรงเตะทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว แรงปะทะที่จะส่งไปยังผิวสัมผัสของลูกบอลจึง
ขึ้นอยู่กับกำลังขาของผู้สวมใส่แล้วล่ะ ผมเองมีโอกาสได้หวดลูกบอลแบบเต็มๆ แรงแบบนี้หลายครั้งมาก
ทำให้รับรู้ได้ว่าหนังของ Mercurial Vapor IX สามารถช่วยผ่อนแรงสะท้อนจากลูกบอลได้ดีขึ้น
กว่าเดิมจนรู้สึกได้ โดยเฉพาะการหวดกับลูกบอลที่แข็งมากๆ อาการระบมหรือระคายเคืองหลังเท้า
นั้นจะเกิดช้าลง ซึ่งถือเป็นผลดีสำหรับบรรดานักเตะที่ชอบยิงประตูด้วยความแรงอยู่บ่อยครั้ง แต่คง
ต้องยอมรับว่ารองเท้าฟุตบอลน้ำหนักตัวไม่ถึง 200 กรัม ไม่ได้ส่งผลด้านบวกให้กับความแรงของลูกบอล
ที่ถูกยิงออกไปมากนัก ยังคงต้องอาศัยกำลังขาของคนเตะเป็นหลัก
และยังพบว่ารองเท้ารุ่นนี้สามารถสอดหน้าสัมผัสของรองเท้าเพื่อเตะเข้าไปยังใต้ลูกบอลได้ง่ายขึ้น
สำหรับจังหวะที่ต้องการเปิดบอลโด่ง เนื่องจากหัวรองเท้าของ Mercurial Vapor IX นั้นถูกออกแบบ
ให้ต่ำกว่า Mercurial Vapor VIII เล็กน้อย หัวรองเท้าจะไม่เชิดขึ้นนัก ทำให้การเปิดบอลโด่งข้ามฟาก
ไปให้เพื่อนร่วมทีมนั้นทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ส่วนเรื่องของการควบคุมทิศทางและการปั่นไซร้โค้งของลูกบอลที่ถูกเตะออกไปจากเท้า ก็ถือได้
ว่าผิวหน้าสัมผัสของรองเท้ายังพอช่วยให้เกิดการปั่นไซร้โค้งของลูกบอลให้ได้เห็นบ้าง และทำได้ง่ายกว่า
อาดิดาส adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ เนื่องจากหนังของรองเท้ารุ่นนี้ที่หนาและมีระยะ
ในการยืดหยุ่น ทำให้การเตะแบบเฉือนๆ หนังรองเท้ามีระยะเวลาเพียงพอที่จะดึงดูดกับผิวของลูกบอล
ให้มีแรงเฉือนเกิดขึ้น ในขณะที่รูปทรงของรองเท้าที่มีสัดส่วนโค้งเว้า โดยเฉพาะทางข้างเท้าด้านใน
น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ถนัดการยิงลูกบอลแบบแปด้วยข้างเท้าด้านใน เพราะลูกบอลที่ถูกยิงออกไป
จะมีการไซร้โค้งให้ได้เห็นเหมือนกัน
ไนกี้ Mercurial Vapor IX ยังคงทำได้ตามมาตรฐานเดิม แทบจะให้ศักยภาพที่ไม่แตกต่างจากเดิม
เลย แต่มีข้อดีตรงที่การรักษาสุขภาพเท้า การลดแรงสะท้อนจากการเตะลูกบอลเต็มแรงซึ่งทำได้ดีขึ้น
แต่ก็ไม่ได้ดีมากจนผิดหูผิดตา ส่วนตัวแล้วผมยังคงติดใจความนุ่มและการยิงเต็มเท้าของอาดิดาส
adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังแท้ มากกว่าอยู่ดี แต่ที่ทาง Mercurial Vapor IX ทำได้เหนือกว่า
เนียนกว่า และมั่นใจกว่า ก็คือการวางเท้าหลักที่ทำได้อย่างมั่นคงมากๆ การส่งถ่ายเทแรงเหวี่ยงของ
ขาข้างที่จะเตะไปยังลูกบอลจึงทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเรื่องการควบคุมทิศทางและการปั่นไซร้
ให้กับลูกบอลที่ถูกเตะออกไป รองเท้าฟุตบอลสีตะวันตกดินที่เราทดสอบกันวันนี้ ก็ยังถือว่าทำได้ดีกว่า
adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ แต่ยังคงไม่ได้เหนือกว่าเจเนอเรชั่นเดิมของมันเองอย่าง
Mercurial Vapor VIII และ adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังแท้ ที่มีแถบสามขีดช่วยในการปั่นไซร้
ดังนั้นคะแนนการทดสอบที่ 8 เต็ม 10 ก็น่าจะยังเป็นคะแนนที่เหมาะสมเหมือนเดิม
คะแนน
- ความสามารถในการยิงประตูและเปิดบอลโด่ง 8/10
การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่
มาปิดหัวข้อการทดสอบด้วยการป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ซึ่งเป็นการทดสอบการเชิงรับ ที่ผ่านๆ มา
หัวข้อนี้เป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งของรองเท้าฟุตบอลสายความเร็วจากไนกี้ซีรี่ย์นี้ แต่สำหรับ Mercurial Vapor
IX นั้นให้การป้องกันและลดแรงปะทะในจังหวะการถูกคู่แข่งเปิดปุ่มเข้าใส่ได้ดีขึ้น เนื่องจากหนังรองเท้า
ที่หนาขึ้น การถูกย่ำใส่จึงรู้สึกเจ็บน้อยลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับหนังบางๆ ของ Mercurial Vapor VIII
ส่วนเกราะป้องกันเอ็นร้อยหวายแบบภายใน (Internal Heel Counter) ก็ป้องกันการปะทะได้ไม่ครอบคลุม
ทั้งส้น เช่นเดียวกับปลายของส้นรองเท้าก็มีระดับต่ำ ไม่ได้สูงขึ้นไปจนปกปิดแนวเอ็นร้อยหวายมากนัก
ดังนั้นศักยภาพในเชิงรับของรองเท้ารุ่นนี้ ยังคงเป็นรองอาดิดาส adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังแท้
คะแนน
- การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ 6/10
Conclusion
เห็นตัวเลขคะแนนการทดสอบในหัวข้อต่างๆ ของ Mercurial Vapor IX แล้วก็อย่าได้ตกใจ เพราะถ้าใคร
ได้อ่านและยังจำคะแนนของ Mercurial Vapor VIII CR ได้ จะรู้ว่าเป็นคะแนนการทดสอบในหัวข้อต่างๆ
ของรองเท้าทั้งรุ่นนี้เท่ากับทุกด้าน ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพการใช้งานจะเหมือนกันแบบก็อปปี้หรือ
เข้าเครื่องถ่ายเอกสารมาแต่อย่างใด แต่ทั้งสองมีความแตกต่างบางอย่างที่สลับกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่
ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ไปให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันแล้ว
เมื่อคุณผู้อ่านทุกท่านได้รับรู้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ทางด้านศักยภาพการใช้งานของ Mercurial Vapor IX
ผมจะขอใช้ส่วนสุดท้ายของบทความรีวิวนี้ จับเอรองเท้าฟุตบอลบางรุ่นที่เกี่ยวข้อง มาขึ้นชกเปรียบเทียบ
พร้อมสรุปสาระสำคัญข้อแตกต่างหลักๆ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของคุณผู้อ่าน ก่อนที่จะ
สรุปถึงตัวตนของ Mercurial Vapor IX อีกครั้ง และทิ้งท้ายเกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่ส่วนตัวแล้วอยากให้
ทางผู้ผลิตนำไปเป็นข้อมูล เผื่ออนาคตจะเอามาพิจารณาใช้เป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาเจเนอเรชั่น
ใหม่ๆ ในอนาคต ต่อไป
Mercurial Vapor IX =vs= Mercurial Vapor VIII =vs= Mercurial Vapor VIII CR
งานนี้มวยคู่แรก ไม่สิ ต้องขอใช้คำว่ากลุ่มแรก คงต้องขอจับเอารองเท้ามาเปรียบเทียบทีเดียวกันถึง 3 รุ่น
ได้แก่ Mercurial Vapor IX รุ่นใหม่ล่าสุด กับ Mercurial Vapor VIII และ Mercurial Vapor VIII CR
รองเท้าฟุตบอลทั้ง 3 รุ่นนี้ ค่อนข้างจะมีศักยภาพและรูปแบบที่ใกล้เคียงกันมากๆ แต่จะมีรายละเอียด
บางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย เริ่มต้นที่ไนกี้ Mercurial Vapor IX หลังจากที่ทดสอบการใช้งานไปแล้ว
พบว่าพระเอกของเราในวันนี้ เป็นรองเท้าที่มีหุ้มส้นซึ่งใส่สบายขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ความบีบกระชับ
บริเวณตอนกลางของเท้า โดยเฉพาะแรงกดบนหลังเท้า รู้สึกว่าอึดอัดขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยในครั้งแรก
ที่ใช้งาน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลามากกว่าเดิม ตัวรองเท้าถึงจะเข้ารูปกับลักษณะเท้าของผู้สวมใส่ ความอึดอัด
ที่เกิดขึ้นจะหายไปเอง
เรื่องของศักยภาพของการรองรับและผ่อนแรงกระแทกจากการเคลื่อนที่ ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม
เนื่องจากรูปแบบการวางปุ่ม จำนวนปุ่ม และแผ่นรองพื้นด้านในรองเท้าเป็นพิมพ์เดียวกันทั้งหมด ไม่มี
เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่และการยึดเกาะพื้นสนาม ที่รองเท้าฟุตบอลทั้ง 3 รุ่น
นี้ ยังมีศักยภาพในการจิกพื้นสนามได้ดีมากที่สุด การเคลื่อนที่เปิดกว้างทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นซ้าย-ขวา
หน้า-หลัง จุดเด่นตรงนี้ยังมีมาให้อย่างครบถ้วนกระบวนความ
ส่วนเรื่องการเล่นกับลูกบอล พบว่า Mercurial Vapor IX มีดีขึ้นในเรื่องของความนุ่มจากหนังรองเท้า
ทำให้การจับสัมผัสบอลดูจะนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย รวมถึงการรับ-ส่งบอลด้วยข้าวเท้าด้านใน ก็ให้สัมผัสที่
หนักแน่นมากขึ้นกว่าเดิม แต่ดูจะด้อยกว่าในเรื่องของการแปส่งบอลแบบให้ติดไซด์โค้ง เพราะพื้นผิว
สัมผัสตรงบริเวณดังกล่าวของรองเท้า ไม่มีการเคลือบผิวให้เหนียวหนึบเหมือนกับบริเวณหัวรองเท้า
ในขณะที่ Mercurial Vapor VIII และ Mercurial Vapor VIII CR จะมีผิวสัมผัสที่ดึงดูดกับลูกบอลได้
ดีตลอดทั่วทั้งตัวรองเท้า
การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าเพื่อตะลุยทะลุทะลวงคู่แข่ง Mercurial Vapor IX นั้นให้การสัมผัสบอลและ
ควบคุมน้ำหนักบอล เลี้ยงบอลได้เชื่องเท้ากว่าเล็กน้อย ส่วนการปรับเปลี่ยนทิศทางลูกบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า
แบบกะทันหัน ก็ยังถือว่าพื้นที่บริเวณหัวรองเท้าที่มีการเคลื่อนผิวให้เหนียบหนึบนั้นก็สามารถตอบสนอง
กับลูกบอลได้ดี แต่ถ้าเป็นพื้นที่ด้านข้างรองเท้า ซึ่งไม่มีการเคลือบผิวด้วยสารดึงดูด จะทำให้บางจังหวะ
ลูกบอลนั้นลื่นออกไปนอกทิศทางที่เราต้องการ ความแม่นยำจึงลดลง โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชอบทาง
ด้าน Mercurial Vapor VIII CR มากกว่า แม้ว่าการควบคุมน้ำหนักจะทำได้ไม่เชื่องเท้าเท่า แต่หนัง
รองเท้าที่บางกว่า จะให้อารมณ์การแตะเลี้ยงบอลแบบ บางๆ เดิมๆ และเต็มเท้ากว่า ในขณะที่ตัวรองเท้า
ซึ่งมีความเหนียวจากการถูกเคลือบด้วยสารดึงดูดทั่วตลอดทั้งตัว ก็ทำให้สามารถใช้ส่วนไหนก็ได้ในการ
ควบคุมทิศทางของลูกบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า ในขณะที่ Mercurial Vapor VIII แบบปกติ ยังให้การ
ควบคุมทิศทางของลูกบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้าไม่แม่นยำเท่ากับทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวถึง
และอย่างที่บอก อานิสงค์ของหนังรองเท้าที่หนานุ่มมากขึ้นของ Mercurial Vapor IX ทำให้มันสามารถ
ลบจุดอ่อนในเรื่องของการรักษาสุขภาพเท้า จากการเตะหรือยิงลูกบอลแบบสุดแรงเกิด ลงได้บ้างพอสมควร
การหวดเต็มแรงสามารถทำติดต่อกันได้ถี่มากขึ้น โดยอาการเจ็บระบมเท้านั้นถูกหน่วงให้รู้สึกช้าลงนิดหน่อย
การเปิดบอลโด่งทำได้ง่ายขึ้น เพราะหัวรองเท้าที่ต่ำลง ทำให้การวางเท้าสอดเข้าไปเตะที่ใต้ลูกบอลทำได้
ง่ายกว่าเดิม แต่สิ่งที่ Mercurial Vapor VIII CR ทำได้ดีกว่า ก็คือเรื่องของการควบคุมทิศทางและปั่นไซร้
โค้ง ที่ผมยังยืนยันว่าหน้าสัมผัสของรองเท้ารุ่นดังกล่าว สามารถดึงดูดกับผิวของลูกบอลได้ดีกว่านิดหน่อย
และยังสามารถใช้ทุกส่วนในการปั่นไซร้โค้งลูกบอลได้เท่าๆ กันอีกด้วย
โดยรวมแล้วต้องบอกว่า Mercurial Vapor IX กับ Mercurial Vapor VIII CR ค่อนข้างจะมีความใกล้
เคียงกันพอสมควร สิ่งที่เจเนอเรชั่นใหม่สีตะวันตกดินที่เราทดสอบกันในวันนี้ จะโดดเด่นกว่าก็คือเรื่อง
ของความหนานุ่มของหนังรองเท้า การสัมผัสบอลจะนุ่มนวล การยิงเต็มแรงจะไม่เจ็บเท้ามากนัก ในขณะที่
Mercurial Vapor VIII CR จะได้ในเรื่องของผิวสัมผัสตลอดตัวรองเท้าที่ดูจะเหนียวหนึบกว่า ทำให้สามารถ
รองรับต่อการสัมผัสและดึงดูดกับลูกบอลได้แบบรอบตัวเลยทีเดียว และลักษณะของหนังรองเท้าที่บางกว่า
ทำให้ตัวรองเท้าสามารถลู่กระชับเข้ารูปกับเท้าได้อย่างลงตัวมากกว่า ส่วนทาง Mercurial Vapor VIII
ซึ่งเป็นหนังสากๆ จะเป็นรองในเรื่องของการดึงดูดกับลูกบอล แต่ความนุ่มของหนังที่ดูจะน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ
ทำให้การรักษาสุขภาพเท้า การยิงเต็มแรง จะได้รับแรงสะท้อนมากกว่า
Mercurial Vapor IX =vs= adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์
ข้ามฟากมาที่แบรนด์อาดิดาสที่มีรองเท้าสายความเร็วรุ่นดังทำตลาดเป็นคู่แข่งรายสำคัญอยู่ นั่นก็คือ
adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ สาเหตุที่จะขอดึงเอาเวอร์ชั่นนี้มาวัดกัน ก็เนื่องจากเป็น
วัสดุหนังสังเคราะห์เหมือนกัน และยังเป็นรองเท้ารุ่นล่าสุดก่อนหน้านี้ที่ผมได้ทำการรีวิวทดสอบไปด้วย
รองเท้าทั้ง 2 รุ่นนี้ แม้จะเป็นรองเท้าประเภทความเร็วตัวพ่อเหมือนกันทั้งคู่ แต่ต้องยอมรับว่าทั้งสองยัง
มีความแตกต่างกันบางอย่างอยู่ โดยทางอาดิดาสจะเป็นรองเท้าฟุตบอลความเร็วแบบดิบๆ คือ เน้นที่
ความเบาของรองเท้า การเคลื่อนที่ไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง จัดกันแบบวิ่งตัวปลิวไปเลย แต่ก็ยัง
มีระบบการรองรับแรงกระแทกด้วยชุดพื้นอีกชุดที่แถมมาเป็นทางเลือก adiZero F50 2013 เวอร์ชั่น
หนังสังเคราะห์ เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เย้ายวนให้ผู้สวมใส่อยากจะก้าวขา ส่งแรงสปรินซ์ออกวิ่งได้
ดีกว่า
แต่สำหรับ ไนกี้ Mercurial Vapor IX นั้นจะเหนือกว่าในเรื่องของการยึดเกาะพื้นสนามที่มั่นคง ซึ่ง
สามารถครอบคลุมการเคลื่อนที่ทุกรูปแบบ ทุกองศรอบตัว แม้ว่าตัวรองเท้าจะไม่ได้เบาหวิวเหมือนกัน
ทางคู่แข่งจากอาดิดาส แต่มันก็มีจุดเด่นในเรื่องของการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าที่เชื่องเท้า และควบคุม
การเปลี่ยนทิศทางของลูกบอลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำกว่ามาก ทั้งนี้ยังได้ในเรื่องการเล่นกับลูกบอลที่ดี
ว่า "มาก" ทั้งการจับบอลแรกที่นุ่มนวล การแปส่งบอลที่หนักแน่น การยิงเต็มแรงที่รักษาสุขภาพเท้า
ได้มากกว่า และยังรวมถึงการควบคุมทิศทางและการปั่นไซร้ลูกบอลที่ถูกเตะออกไปจากเท้าอีกด้วย
คงต้องบอกว่า ไนกี้ Mercurial Vapor IX จะเป็นตัวเลือกที่ดูจะครบถ้วนการใช้งานมากกว่า และจะ
ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการทั้งความเร็วและการเล่นกับลูกบอลได้อย่างแน่นอน ส่วนทาง
ด้านของ อาดิดาส adiZero F50 2013 เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์ จะเหมาะสำหรับผู้ที่อยากได้รองเท้า
ฟุตบอลน้ำหนักเบาหวิว วิ่งทางตรงยาวๆ เอาไว้แตะบอลไปด้านหน้าแล้วใช้ความเร็วทิ้งห่างคู่แข่ง
รวมถึงได้ออฟชั่นในกาีรเปลี่ยนชุดพื้น เพื่อศํกยภาพในการรอบรับแรงกระแทกที่ดีกว่า นั่นเอง
ทั้งหมดที่ผ่านมาน่าจะสามารถบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของไนกี้ Mercurial Vapor IX ได้ว่ามันเป็นรองเท้า
ฟุตบอลสายพันธุ์ความเร็วที่ไม่ได้มีแค่ความเบา เพื่อให้ผู้สวมใส่วิ่งตัวปลิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจุดเด่น
ในเรื่องของการเล่นกับลูกบอลมากมายหลายรูปแบบ ไปๆ มาๆ แล้ว บางทีก็เผลอคิดว่ารองเท้ารุ่นนี้ที่สวมใส่
อยู่ ไม่ใช่รองเท้าสายสปีดไปซะงั้น เพราะมันมีจุดเด่นครอบคลุมหลายด้านเลยทีเดียว ซึ่งผมจะสรุปในย่อหน้า
ถัดไปนี้
หลังจากที่ได้ใช้เวลาทดสอบ Mercurial Vapor IX ไปนานพอสมควร นานจนจะครบเดือนอยู่แล้ว นานจน
สีใหม่จะออกสู่ตลาดแล้วมั้ง สรุปได้ว่ารองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ยังคงเป็นรองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์ความเร็วที่
โดดเด่นทั้งในเรื่องของรูปร่างหน้าตา และศักยภาพของการใช้งาน แม้จะไม่ได้เป็นรองเท้าฟุตบอลที่
เบาหวิวกะให้วิ่งตัวปลิว แต่มันก็เบามากพอที่จะช่วยเค้นความเร็วของผู้สวมใส่ออกมาได้ รวม
กับรูปแบบของชุดพื้นและปุ่มของรองเท้าที่ยึดเกาะพื้นสนามได้ยอดเยี่ยมที่สุด เท่าที่เคยใช้งาน
รองเท้าฟุตบอลมา แถมยังสามารถรองรับการเคลื่อนที่ได้ทุกรูปแบบ ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง หรือ
การสับขาหลอกล่อคู่แข่ง ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับความกระชับเข้ารูปเท้าในระดับที่สูงมาก แม้จะ
ไม่ใช่รองเท้าที่ใส่สบาย แต่ก็สร้างความมั่นใจในแบบที่รองเท้าฟุตบอลประเภทนี้ควรจะเป็น
ข้อดีที่เจเนอเรชั่นนี้มีเพิ่มเติมเข้ามา ก็คือเรื่องของความนุ่มในการสัมผัสบอล การส่งบอลที่
หนักแน่นขึ้นกว่าเดิม และยังรวมถึงการรักษาสุขภาพเท้า ลดแรงสะท้อนจากการเตะลูกบอลเต็ม
แรง ในขณะที่หัวรองเท้าที่ต่ำลง ก็ยังช่วยให้การเปิดบอลโด่งทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
น่าเสียดายที่การเล่นเฉดสีแบบทูโทน มีผลทำให้การเคลือบผิวของตัวรองเท้านั้นทำได้ไม่ทั้งหมด ทำให้
เฉพาะบริเวณส่วนหน้าเท่านั้นที่สามารถดึงดูดกับผิวของลูกบอลได้อย่างเหนียวหนึบ ในขณะที่ตอนกลาง
ของรองเท้านั้นไม่สามารถทำได้ ส่วนเรื่องของการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสด้วยลักษณะหนังรองเท้าแบบ
ลูกกอล์ฟ ไม่สามารถทำให้รู้สึกได้ว่าช่วยให้สัมผัสควบคุมลูกบอล และเพิ่มความเร็วของการ
เคลื่อนที่โดยรวม ได้ดีขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้วแต่อย่างใด ส่วนศักยภาพในการผ่อนแรงและ
ดูดซับแรงกระแทกจากพื้นสนาม ก็ยังคงเป็นข้อด้อยหลักๆ ของรองเท้ารุ่นนี้ และควรเลี่ยงการ
ใช้งานกับสนามหญ้าเทียมที่พื้นแข็งโดยสิ้นเชิง
เชื่อว่าคงไม่มีข้อสงสัยถึงศักยภาพการเป็นรองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์ความเร็วของไนกี้ Mercurial Vapor IX
ที่ผมยังยืนยันว่ารองเท้ารุ่นนี้มีศํกยภาพดังกล่าวแบบ 10 เต็ม 10 ไปเลย โดดเด่นด้วยความสามารถในการ
เคลื่อนที่ทุกรูปแบบจริงๆ รวมถึงการเลี้ยงพาบอลตะลุยไปกับเท้าอย่างแม่นยำ และการควบคุมน้ำหนักได้
ง่ายขึ้น จริงๆ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ Mercurial Vapor IX มีคุณสมบัติของรองเท้าฟุตบอลประเภทนี้
อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
- คุณสมบัติการเป็นรองเท้าสายสปีด 10/10
ส่วนประเด็นสุดท้ายคือเรื่องของความคุ้มค่าสมราคาค่าตัวที่ขยับขึ้นจากเดิม 90 บาท เป็น 7,690 บาท
ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ทำไมถึงขึ้นราคา ทำไมราคารองเท้าถึงเพิ่มสูงขึ้นนิดนึง บ้างก็เดากันว่าช่วงนี้
น้ำมันขึ้นราคา ใครว่าไม่กระทบ !? อย่าลืมว่าเจ้า แลมเบอร์กินี่ กัลลาร์โด้ ซุปเปอร์คาร์ที่ไนกี้ดึงเอามา
ใช้เป็นการโปรโมทมันกินน้ำมันโครตๆ เลยนะ แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เอาเป็นว่าค่าตัวที่ขึ้นในระดับ
ที่ยังเอาไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ได้เช่นนี้ คงไม่ส่งผลประทบต่อจิตใจหรือกระเป๋าสตางค์ของสาวก
Mercurial Vapor แน่นอนแล้วกัน
ความหนาของหนังสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น การลงสีแบบทูโทน รวมถึงการปั๊มหน้าผ้าให้เป็นรอยบุ๋มเหมือน
ลูกกอล์ฟ สามารถช่วยทำให้รองเท้าฟุตบอล Mercurial Vapor IX ดูหรูหราไฮโซ น่าจับน่าสัมผัสมากขึ้น
และยังดูน่าจะแข็งแรงทนทานกว่าเดิมอีกด้วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นเรื่องของบริเวณหัวรองเท้า ที่อยู่ๆ
ไนกี้ก็เอาแถบกันหัวเปิดออกจากรองเท้ารุ่นนี้ซะงั้น ทั้งๆ ที่ Mercurial Vapor VIII เฉดสีหลังๆ จะมีมาให้
ส่วนเรื่องของวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะชุดพื้น ช่วงล่าง ก็ดูสมราคาค่าตัว กับวัสดุเชิงวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่ง
หาแทบไม่ได้จากรองเท้าฟุตบอลรุ่นอื่นๆ เรื่องของความแข็งแรงของปุ่ม ตรงขุดนี้ผมไม่สามารถชี้ชัดได้
ว่าปุ่มของ Mercurial Vapor IX แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ แต่เท่าที่จับสัมผัสดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าเหมือนเดิม
เพียงแต่การที่ไนกี้ใช้ชุดปุ่มสีดำทมึน อาจเป็นไปได้ว่าช่วยเสริมภาพลักษณ์ว่าปุ่มแข็งแรงขึ้น ตามที่หลาย
คนลงความเห็นกันมา
ดังนั้นผมขอลงคะแนนหัวข้อสุดท้ายให้กับ Mercurial Vapor IX ในระดับที่เท่าเทียมกับ Mercurial Vapor
VIII CR ก็แล้วกันนะครับ
- ความคุ้มค่า 8/10
เอาเป็นว่าถ้าคุณผู้อ่านท่านใดตัดสินใจที่จะเป็นเจ้าของไนกี้ Mercurial Vapor IX ซุปเปอร์คาร์แห่ง
สนามฟุตบอล ท่านสามารถไปถอยมาไว้ในครอบครองได้ที่ ร้านไนกี้ ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์, ชั้น G
เทอร์มินอล 21, ไนกี้ คอร์เนอร์ ชั้น 3 สยาม พารากอน , ร้านอารี ฟุตบอลคอนเซ็ปต์ สโตร์ , เอฟ .บี .ที .
สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และร้านนกแก้ว สนนราคาค่าตัว 7,690 บาท
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
สำหรับข้อเสนอแนะที่อยากจะลงเอาไว้ให้เป็นประจักษ์พยาน เผื่อวันนึงทีมพัฒนารองเท้าฟุตบอลของไนกี้
จะเอาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาต่อไป แม้จะเป็นเสียงเล็กๆ แต่ก็เป็นเสียงจากผู้ที่ได้ใช้งานทดสอบรองเท้า
จริง แถมยังมีโอกาสได้เปรียบเทียบกับรองเท้าฟุตบอลรุ่นอื่นๆ ในตลาดอีกมากมายด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์
ไม่มากก็น้อย
เรียนตามตรงว่านี่คือ Mercurial Vapor คู่ที่ 3 ในรอบปี !! ที่ผมได้รับมารีวิวทดสอบ และก็เรียนตามตรงว่า
จุดที่อยากให้ปรับปรุงก็คือเรื่องของระบบการรองรับแรงกระแทก ยังไงก็ยังอยากให้ไนกี้เอาแผ่นรองพื้นที่มี
โฟมที่หนากว่านี้ หรือมีการเสริมแนววัสดุรองรับแรงกระแทกแบบ Poron เข้ามา รวมถึงหน้าผิวสัมผัสของ
แผ่นรองพื้นด้วย ผมยังชื่นชอบผิวหน้าแผ่นรองพื้นที่มีการเคลือบผิวด้วยสารกันลื่น ทำให้เท้าสามารถยึดเกาะ
กับพื้นรองเท้าได้เป็นอย่างดี น่าแปลกใจที่ลักษณะผิวหน้าของแผ่นรองพื้นแบบดังกล่าว กลับมีมาให้ในรุ่น
Mercurial Veloce ซึ่งเป็นรองเท้าระดับรองท็อปซะงั้น
… - MEDIUM / รุ่นรองท็อป… เป็นรองเท้าในระดับกลาง ที่ถัดลงมาจากตัวท็อป โดยรองเท้าในระดับนี้
จะนำเทคโนโลยีหรือความสามารถหลักของตัวท็อป มาใส่บางส่วน แต่ก็ยังถือได้ว่ามีความสามารถ
ที่ใช้งานได้จริง และคุ้มค่ากับราคา เช่น F30 adiZero, Predator Absolion, Nitrocharge 2.0,
Mercurial Veloce, CTR360 Trequartista, Hypervenom Phatal เป็นต้น
ไนกี้ T90 Strike IV รองเท้าฟุตบอลที่ไนกี้หมายมั่นปั้นมือให้เข้ามาตีตลาด
ในฐานะรองเท้าระดับรองท็อป ซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนมากที่ได้
เลือกใช้รองเท้าฟุตบอลระดับนี้ ดังนั้นรองเท้ารุ่นนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นสำคัญ
ที่จะต้องทำออกมาให้โดนใจผู้ใช้งานให้มากที่สุด
สิ่งแรกที่ T90 Strike IV นั้นแตกต่างจากรองเท้ารุ่นท็อป T90 Laser IV
ก็คือจะมีตัวเลือกในเรื่องของวัสดุที่ใช้ทำหน้าผ้าและตัวรองเท้าเพียงอย่าง
แบบเดียวเท่านั้น โดยไนกี้เลือกใช้หนังสังเคราะห์ (Synthetic Leather)
มาผลิตเป็นหน้าผ้าและตัวรองเท้าในทุกๆ เฉดสี (ขณะที่รุ่นท็อปจะมีเฉดสี
ที่ใช้หนังแคงกาไลท์มาผลิตเป็นหน้าผ้า) ต่อมาจะขอพูดถึงลูกเล่นสำคัญ
ของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ นั่นคือ "Adaptive Shield" หรือแถบยางที่ใช้
เพิ่มพละกำลัง ความแม่นยำและการปั่นโค้งของลูกยิงที่ออกไปจากเท้า
พบว่าสัมผัสของแถบยางนั้นแทบจะไม่แตกต่างจากชุดแถบยางที่สถิตย์
อยู่ในรองเท้ารุ่น T90 Laser IV เลยแม้แต่น้อย โดยที่แนวสันเท้าจะเป็น
แถบยางแข็งขนาดกว้าง ได้ถูกออกแบบให้มีความโค้งรับกับลูกฟุตบอล
เพื่อประสิทธิภาพในการส่งถ่ายแรงจากเท้าและการบังคับควบคุมทิศทาง
ได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ดอกยางปั่นโค้ง ก็มีจำนวนถี่ ดอกยางมีความ
นุ่มกว่าเดิม เพื่อประสิทธิภาพในการสัมผัสกับผิวของลูกฟุตบอลได้ดีขึ้น
เมื่อเทียบกับเจเนอเรชั่นที่แล้ว ดังนั้นก็คงจะกล่าวได้ว่า T90 Strike IV
มีศักยภาพในการถล่มสังหารประตูในระดับ "The Perfect Strike" ได้
เช่นเดียวกัน
สำหรับชุดพื้นและปุ่มแบบ FG นั้นได้ถูกผลิตจากวัสดุประเภท TPU
มีความแข็งแรงทนทานและยืดหยุ่นได้บ้าง แต่ชุดพื้นและปุ่มของรุ่นนี้
จะเป็นการลงสีแบบทึบ ไม่มีการเคลือบชั้นนอกด้วยวัสดุใส จึงทำให้ดู
ไม่หรูหราสวยงามมากมายนัก ที่สำคัญคือปุ่ม FG ของ T90 Strike IV
รุ่นนี้ "สั้นกว่า" ปุ่ม FG ของ T90 Laser IV ซึ่งเป็นรุ่นท็อป จึงเป็น
ไปได้ว่าจะให้การยืนพื้นที่สบายฝ่าเท้ามากกว่า ในการใช้งานกับพื้น
สนามหญ้าเทียมที่นิยมในปัจจุบัน โครงสร้างระหว่างส่วนหน้ากับหลัง
ถึงแม้จะเป็นชุดพื้นแบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด แต่จะมีการเสริมโครงสร้าง
รูปตัว "X" เพิ่มสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นในจังหวะการ
สปรินซ์ตัวที่ต้องโค้งงอนั่นเอง ในขณะที่หุ้มส้นด้านในถูกบุด้วยวัสดุ
หนังสังเคราะห์แบบที่เราๆ คุ้นเคยกันดี แต่ผิวหน้าของหุ้มส้นจะไม่มี
การออกแบบลวดลายหรือเคลือบผิวให้มีความเหนียวเพื่อเพิ่มความ
กระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ แผ่นรองพื้นผิวหน้าเป็นผ้าไนล่อน
ที่เสริมด้านล่างด้วย EVA foam ซึ่งทำหน้าที่ในการช่วยรองรับแรง
กระแทกในทุกๆ การเคลื่อนที่
ไนกี้ T90 Strike IV คู่นี้มาในราคาค่าตัว 4,000 บาท ซึ่งเป็นราคา
ที่ถูกลงกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้ว พิกัดน้ำหนักตัวก็เบากว่ารองเท้ารุ่นท็อป
T90 Laser IV อยู่เล็กน้อย เพราะรองเท้ารุ่นรองท็อปคู่นี้มีน้ำหนักอยู่ที่
272.2 กรัม เท่านั้น
ข้อมูลทั่วไป
ระดับรองเท้า : Medium
วัสดุหลักบนตัวรองเท้า : หนังสังเคราะห์ (Synthetic)
ลักษณะเกราะกันส้นเท้า : ภายใน (Internal Heel Counter)
วัสดุพื้นรองด้านใน : EVA foam
การถอดพื้นรองด้านใน : ถอดได้
วัสดุที่ใช้ทำปุ่ม : TPU
ลักษณะปุ่มแบบ FG : ปุ่มใบมีด
น้ำหนักโดยประมาณ : 272.2 กรัม
จุดเด่นโดยรวม : วัสดุและลูกเล่นที่ยอดเยี่ยม สมราคาค่าตัว
ราคา : 4,000 บาท
… - BASIC / รุ่นเบสิค… เป็นรองเท้าในระดับรองจากระดับกลาง จะมีลักษณะรูปทรงที่คล้ายกับตัวท็อป
แต่วัสดุหรือเทคโนโลยีที่ได้มายังถือว่าน้อย แต่โดยรวมถือว่ารุ่นนี้มีความคุ้มค่ากับราคาเป็นอย่างมาก
เช่น F10 adiZero, Predator Absolado, Mercurial Victory, Tiempo Natural, CTR360 Libretto,
Hypervenom Phelon เป็นต้น
รองเท้าฟุตบอลรุ่นเล็กสุด หรือระดับทั่วไป (Basic) ในซีรี่ย์ Mercurial X นั้น ไนกี้ยังคงตั้งชื่อรุ่นเอาไว้ว่า
Vicroty และตามด้วยรหัสเลขโรมัน V เนื่องจากชื่อนี้ถูกเอามาใช้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 แล้ว (ไนกี้เริ่มใช้ชื่อ
Victory เป็นรองเท้ารุ่นทั่วไป ตั้งแต่เจเนอเรชั่น Mercurial XI) ดังนั้นถ้าจะให้เรียกชื่อเต็มๆ อย่างเป็นทางการ
ควรจะต้องเรียกรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ว่า Mercurial Victory V นั่นเอง
ตัวรองเท้าของ Mercurial Victory V ผลิตจากวัสดุหนังสังเคราะห์ (Synthetic) แบบชิ้นเดียว
มีลักษณะบาง และแข็งกว่าหนังสังเคราะห์เทจินไมโครไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุของรุ่นที่สูงกว่า เล็กน้อย
แต่ผิวหน้าสัมผัสสัมผัสนั้นมีลักษณะเป็นพื้นผิวขรุขระ เพื่อเพิ่มมิติในการสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอล
เหมือนกัน
ลักษณะการออกแบบโดยรวม จะคล้ายคลึงกับรองเท้าระดับรองท็อป Mercurial Veloce II พอสมควร
โดยรองเท้ารุ่นนี้มีแนวร้อยเชือกและลิ้นรองเท้าตามปกติ เชือกรองเท้าที่ให้ติดตัวมาเป็นเชือกรองเท้า
แบบเส้นแบน หน้าผ้ากว้าง เนื้อผ้าของเส้นเชือกมีความนุ่นระดับกลาง สเป็คเดียวกันกับเชือกรองเท้า
ของรุ่น Mercurial Veloce II ทุกประการ
แต่สิ่งที่แตกต่างก็ถือ แผ่นรองพื้นด้านในของรองเท้ารุ่น Mercurial Victory V นั้นจะไม่สามารถถอด
ออกมาจากด้านในได้ และลักษณะของแผ่นรองพื้นจะเป็นวัสดุโฟม EVA ที่ปิดทึบ ไม่มีรู เหมือนกับแผ่น
รองพื้นของรองเท้าระดับอื่นๆ ในซีรี่ย์เดียวกันนี้
ส่วนเกราะหุ้มส้นและป้องกันเอ็นร้อยหวาย เป็นแบบชิ้นพลาสติกแข็ง ฝังตัวอยู่ด้านในส้นรองเท้า หรือที่เรา
เรียกกันว่า Internal Heel Counter นอกจากจะให้การปกป้องที่ดีพอสมควรแล้ว ยังทำให้ส้นเท้าของรองเท้า
ดูเข้ารูป มีความสวยงาม ไม่เทอะทะนั่นเอง
ชุดพื้นช่วงล่างของ Mercurial Victory V ก็มีความแตกต่างจากรองเท้ารุ่นอื่นที่แพงกว่าในซีรี่ย์นี้
สิ่งแรกที่สังเกตได้ง่ายที่สุดเลยก็คือสีของชุดพื้น โดยรองเท้ารุ่นนี้จะมีชุดพื้นที่เป็นสีเดียวกันกับสีหลัก
ของตัวรองเท้า และถ้าสังเกตกันดีๆ จะเห็นได้ว่าชุดพื้นเป็นชุดพื้นแบบชิ้นเดียวกัน แต่ราบเรียบ
ไม่มีโครงสร้างแบบตัว V ที่ช่วยสร้างแรงดีดในจังหวะการงอของชุดพื้น
อย่างไรก็ตาม ลักษณะแนววางปุ่มของ Mercurial Victory V นั้นยังคงมาในแบบที่เป็นเอกลักษณ์
ของรองเท้าซีรี่ย์นี้โดยเฉพาะ โดยปุ่มทั้งหมดได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเคลื่อนที่สปรินซ์
ออกตัวได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และยึดเกาะกับพื้นได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่
ไปด้านหน้า หรือเปลี่ยนทิศทางออกทางด้านข้าง จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนั้น
ยังมีเรื่องของการตกแต่งวัสดุส่วนปลายปุ่ม ที่บางปุ่มเป็นปุ่มใสและบางปุ่มเป็นปุ่มสีทึบ เพิ่มเติมมา
พอเป็นสีสันต์ให้กับตัวรองเท้า
จากข้อมูลทั่วไป ระบุว่ารองเท้ารุ่นนี้มีน้ำหนักเพียง 229.6 กรัม/ข้าง (ไซด์มาตรฐาน) ซึ่งถือว่า
มีน้ำหนักพอสมควร และหนักที่สุดในบรรดาสมาชิกของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ ส่วนราคาค่าตัว
ก็เป็นไปตามฐานะรองเท้าระดับทั่วไป โดยทางไนกี้ (ประเทศไทย) แปะป้ายราคาจำหน่ายของ
Mercurial Victory V เอาไว้ที่ 2,900 บาท
สรุปข้อมูลทั่วไป
Mercurial Victory V ระดับ ทั่วไป (Basic) ราคา 2,900 บาท ของแถม ไม่มี น้ำหนัก (ไซด์มาตรฐาน) 229.6 กรัม/ข้าง แนวร้อยเชือกรองเท้า กลางหลังเท้า เกราะป้องกันส้นเท้า เกราะภายใน (Internal Heel Counter) คำแนะนำการเลือกไซด์ ตรงไซด์ ผลิตที่ประเทศ จีน Materials วัสดุหลักของตัวรองเท้า หนังสังเคราะห์ (Synthetic) วัสดุแผ่นรองพื้น โฟม EVA - การถอดแผ่นรองพื้น ถอดไม่ได้ วัสดุชุดพื้นและปุ่ม วัสดุ TPU - รูปแบบของชุดพื้น พื้นเรียบ เป็นชิ้นเดียวกัน - สีของชุดพื้น สีเดียวกับตัวรองเท้า - รูปแบบปุ่ม FG ปุ่มใบมีดแบบเฉพาะตัวของรองเท้าซีรี่ย์นี้ Features เทคโนโลยีช่วยสัมผัสบอล พื้นผิวสัมผัสบอลแบบ 3 มิติ มีความฝืด ฟลายนิต ไดนามิค ฟิต คอลลาร์ (หุ้มข้อ) ไม่มี Nike Skin ไม่มี Brio Cable ไม่มี All Condition Control (ACC) ไม่มี - SIMPLE / ตัวบ๊วย… เป็นรองเท้าในระดับล่างสุด ราคาจะต่ำที่สุด นั้นก็หมายถึงความสามารถและ
เทคโนโลยีต่างๆ ก็น้อยตามไปด้วยแต่ก็ยังถือว่าพอใช้งานได้ เช่น F5 adiZero, Mercurial Vortex
CTR360 Enganche, Tiempo Rio, Hypervenom Phade เป็นต้น
…
ประเภทของปุ่มและพื้นรองเท้า ::
เรามาพูดถึงเรื่องปุ่มรองเท้าฟุตบอลกันบ้างนะครับว่ามีแบบไหนกันบ้าง เช่น FG, SG, HG, AG, TF, IC
โอ๊ยๆๆ ปวดหัว แยกไม่ออก… เรามาดูทีละตัวเลยนะครับ ว่ามันคืออะไร ยังไงกันบ้าง ตามนี้ครับ
โอ๊ยๆๆ ปวดหัว แยกไม่ออก… เรามาดูทีละตัวเลยนะครับ ว่ามันคืออะไร ยังไงกันบ้าง ตามนี้ครับ
- FG (FirmGround)
เป็นปุ่มสตั๊ดแบบธรรมดา โดยจะมีลักษณะเป็นปุ่มใบมีด หรือปุ่มกลมขึ้นอยู่กับในแต่ละรุ่น
แต่โดยทั่วไปสตั๊ดทุกรุ่นจะใช้ปุ่มลักษณะนี้ ซึ่งจะเหมาะกับสนามหญ้าพื้นปกติปุ่มสตั๊ดแบบธรรมดา มีความสูงปุ่มในระดับปานกลาง มีลักษณะเป็นใบมืดปุ่มกลม (ไนกี้) ปุ่มสามเหลี่ยม (อาดิดาส) และแนวเขี้ยว (มิซูโน่)วัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นในสนามหญ้าที่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไปเช่น สนามที่ปกคลุมด้วยหญ้าจริง…
เป็นธรรมดาที่ทั้งค่ายผู้ผลิตและลูกค้าผู้ใช้งาน ย่อมจะคาดหวังกับประสิทธิภาพและความแตกต่างที่เกิดขึ้น
กับรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ใหม่ หลายคนยังรอคำตอบเพื่อยืนยันว่ารองเท้ารุ่นนี้รุ่นนั้น มีความยอดเยี่ยมสมคำ
โฆษณามากน้อยแค่ไหน ในบทความนี้ SiamBoots จะขอเอารองเท้าซีรี่ย์ใหม่ป้ายแดงจากไนกี้ และเป็นรุ่น
ท็อปคลาส ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ มารีวิวทดสอบการประสิทธิภาพการใช้งานที่แท้จริง
แน่นอนว่าจะเป็นใครอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก รองเท้าฟุตบอลรุ่น Magista Opus
เมื่อช่วงกลางปี ก่อนศึกฟุตบอลระดับโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลจะปะทุแข้งขึ้นนั้น ไนกี้ได้เปิดไพ่เด็ด
ออกมาสู่สายตาสาธารณะชนอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยงานเปิดตัวอย่างอลังการ ที่พาลให้คนไทยได้ร่วมประสบการณ์
ที่ยิ่งใหญ่ไม่แท้ต่างประเทศ กับการรองเท้าฟุตบอลสายพันธุืใหม่ในชื่อว่า Magista
คำว่า Magista เป็นคำจากภาษาสแปนิช (สเปน) ที่มีความหมายว่า "หมอผี" แต่ถ้าจะให้นิยามความหมาย
ดังกล่าว ให้เป็นภาษาไทยที่สวยหรูกว่านั้น ทางไนกี้ได้นิยามเอาไว้ว่า "ผู้ร่ายเวทมนต์แห่งสนามฟุตบอล"
โดยรองเท้าซีรี่ย์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการสร้างสรรค์เกมสำหรับนักเตะกองกลาง ผู้ที่คอยบัญชา
เกมรุกให้กับทีม ซึ่งรองเท้าซีรี่ย์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถแสดงศักยภาพในการควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ
เสมือนเขากำลังร่ายเวทมนต์เข้าใส่คู่แข่งนั่นเอง
แม้ว่าการโปรโมทหรือการนำเสนอทั้งหมดที่ผ่านมา ไนกี้จะเน้นไปที่รองเท้าระดับโครตท็อป ที่จะทำตลาด
ในระดับสูงสุด ในชื่อรุ่นว่า Magista Obra ด้วยการเอาเทคโนโลยีฟลายนิต หรือเส้นด้าย มาถักทอเป็นรองเท้า
ทั้งข้าง และมีส่วนหุ้มข้อสูงขึ้นมา ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ในวงการรองเท้าฟุตบอล พร้อมนำเสนอออกมา
ภายใต้นิยามสั้นๆ ว่า "Create Attack" โดยมีมัสคอตประจำซี่รี่ยเป็น "แมงมุม" เพื่อสื่อถึงรองเท้ารุ่น Magista
Obra ที่นำเอาเทคโนโลยีวัสดุฟลายนิต มาถักทอเป็นตัวรองเท้านั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง..ตลาดระดับท็อปปกติซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่ที่สุดระดับนึง และเป็นที่จับตามอง
ของเหล่านักฟุตบอลทั้งหมด ถือว่าเป็นระดับที่ถูกจำตามองมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะหลายคนยังคง
อินกับประสิทธิภาพการใช้งานของรองเท้ารุ่น CTR 360 Maestri เป็นอย่างมาก แต่เมื่อไนกี้มายุติซีรี่ย์
ดังกล่าว พร้อมทั้งออกซีรี่ย์ Magista มาแทนที่ จึงไม่แปลกที่นักฟุตบอลหลายๆ คน ซึ่งเคยมีประสบการณ์
ที่ยอดเยี่ยมกับ CTR 360 Maestri จะยิ่งคาดหวังว่ารองเท้าซีรี่ย์ใหม่ป้ายแดง จะต้องดี และมีความแตกต่าง
มากขึ้นกว่าเก่า ซึ่งรองเท้าระดับนี้มีชื่อรุ่นว่า Magista Opus เป็นพระเอกในการทำตลาด
ในบทความนี้ จะเป็นคิวรีวิวทดสอบการใช้งาน เพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ถึงประสิทธิภาพของรองเท้า
ฟุตบอลระดับท็อปคลาส ไนกี้ Magista Opus ที่หลายคนเรียกว่าเป็นทายาทของ CTR 360 Maestri
ว่าตัวรองเท้าเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อด้อยตรงไหน จะยอดเยี่ยมขึ้นหรือจะแย่ลงกว่าเดิม เพื่อเอาคำตอบ
มาเป็นประโยชน์ทางข้อมูลให้กับคุณผู้อ่านทุกท่าน ได้เอาไปใช้ตัดสินใจในการเลือกซื้อเลือกหารองเท้า
ฟุตบอลที่ตรงตามความต้องการของม่านมากที่สุด
โดยรองเท้าฟุตบอล Magista Opus คู่ที่ได้มารีวิวนี้ ผมได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ มาจากบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด เช่นเดิม
Details
ไนกี้ ตัดสินใจเปิดตัวรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ใหม่ ในชื่อ "Magista" ออกมาทำตลาดในฐานะรองเท้าสายพันธุ์
คอนโทรล ที่เน้นการสร้างสรรค์เกมส์เพื่อจู่โจมคู่แข่ง มากขึ้นกว่าที่ซีรี่ย์ "CTR 360" ที่ยุติการทำตลาดลงไป
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คำว่า Magista เป็นคำจากภาษาสแปนิช (สเปน) ที่มีความหมายว่า "หมอผี" แต่ถ้าจะให้นิยามความหมาย
ดังกล่าว ให้เป็นภาษาไทยที่สวยหรูกว่านั้น ทางไนกี้ได้นิยามเอาไว้ว่า "ผู้ร่ายเวทมนต์แห่งสนามฟุตบอล"
โดยรองเท้าซีรี่ย์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการสร้างสรรค์เกมสำหรับนักเตะกองกลาง ผู้ที่คอยบัญชา
เกมรุกให้กับทีม ซึ่งรองเท้าซีรี่ย์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถแสดงศักยภาพในการควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ
เสมือนเขากำลังร่ายเวทมนต์เข้าใส่คู่แข่งนั่นเอง
นอกเหนือจากคอนเซปของตัวรองเท้าที่กล่าวไปแล้ว ไฮไลท์สำคัญที่สุดของ Magista ก็คือการเปิดตัว
รองเท้าระดับโครตท็อป ภายใต้เทคโนโลยี "ฟลายนิต" ซึ่งเป็นการใช้วัสดุเส้นด้ายมาถักทอเป็นตัวรอง
แบบไร้รอยต่อ รวมถึงการเพิ่มส่วนที่เป็นหุ้มข้อ จนสร้างความฮือฮาตั้งแต่วันที่รองเท้าถูกเปิดตัวล่วงหน้า
(เปิดตัวเดือนมีนาคม 2014 แต่วางจำหน่ายเดือนพฤษภาคม 2014) เพื่อให้รองเท้ามอบประสบการณ์
การสวมใส่ที่เสมือนรองเท้าเป็นอวัยวะชิ้นเดียวกับเท้า ในแบบที่ไม่เคยมีรองเท้าฟุตบอลรุ่นไหนเคยมี
มาก่อน
ไนกี้ใช้ อันเดรียส อินิเอสต้า เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่ง เป็นพรีเซนเตอร์หมายเลขหนึ่งของซีรี่ย์ Magista ต่อยอด
มาจากซีรี่ย์ CTR 360 เหมือนเดิม แต่งานนี้ต้องบอกว่า ไนกี้ทุ่มสุดตัวด้วยการดันนักเตะระดับโลกมากมายหลายคน
ขึ้นมาเป็นพรีเซนเตอร์ในการโปรโมทรองเท้าซีรี่ย์นี้อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น ธิอาโก้ ซิลวา, ดาวิด ลุยซ์,
อาร์ด้า ตูราน, มาริโอ เกิทเซ่, โยฮัน กาบาย, คริสเตียน อิริคเซ่น และ แจ๊ค วิลเชียร์ เพื่อเป็นการทำตลาด
สร้างภาพลักษณ์ให้กับรองเท้ารุ่นนี้ ได้เป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก..ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เท่านั้น
เมื่อเรียบเรียงรายชื่อรุ่น/ระดับ ของสมาชิกในซีรี่ย์ Magista จะประกอบไปด้วย Magista Obra เป็นรองเท้า
ระดับโครตท็อปที่ทำจากวัสดุด้ายถักและมีหุ้มข้อ ซึ่งเป็นรุ่นไฮไลท์ที่ไนกี้ทุ่มการโปรโมทมาโดยตลอด และ
มีชื่อรุ่น Magista Opus เป็นรองเท้าระดับท็อปคลาส ซึ่งยังคงมีเทคโนโลยีหลายอย่างบรรจุมาให้อย่างสม
ฐานะ ในขณะที่รองเท้าระดับรองท็อป และรองเท้าระดับทั่วไป มีชื่อรุ่นว่า Magista Orden และ Magista Onda
ตามลำดับ โดยรองเท้าแต่ละรุ่นแต่ละระดับ จะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวัสดุ เทคโนโลยี ลูกเล่นและ
ราคา
ข้อมูลของรองเท้าฟุตบอลรุ่น Magista Opus
สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่รู้จักข้อมูลตัวรองเท้า Magista Opus ว่ารองเท้ารุ่นนี้มีเทคโนโลยีหรือ
รายละเอียดตรงจุดใดที่น่าสนใจบ้าง ผมขอยกเอาเนื้อความจากบทความ "Hand On!" ซึ่งเป็นบทความ
ที่นำเสนอข้อมูลของตัวรองเท้าทุกส่วน อย่าละเอียดยิบ มาแปะเอาไว้ต่อจากนี้ ส่วนคุณผู้อ่านท่านใด
ที่เคยอ่านบทความดังกล่าวแล้ว ก็เตรียมตัวสำหรับการลงสนามทดสอบ ด้วยการเลื่อนข้างไปอ่านยัง
ส่วนหัวข้อ "Feeling & Sizing" เพื่อเลือกไซด์รองเท้าที่เหมาะสม ได้เลยครับ
ภายในกล่องเราจะพบเจอตัวรองเท้าฟุตบอล รุ่น Magista Opus ที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีขาว วางมาในทิศทาง
แบบสลับหัวท้ายกัน เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ เป็นไปตามปกติการบรรจุหีบห่อของรองเท้าฟุตบอล
ด้านในหัวรองเท้ามีดันทรงกระดาษอัด ที่เป็นทรงแข็ง ใส่มาให้ในตัวรองเท้าเพื่อรักษารูปทรง สำหรับรองเท้า
รุ่นนี้/สีนี้ ไนกี้ใช้ประเทศเวียดนาม (Made in Vietnam) เป็นฐานการผลิต และเพื่อให้สมฐานะรองเท้าฟุตบอล
ระดับท็อปคลาสของไนกี้ แน่นอนว่า ด้านในจะมีถุงสะพายสำหรับใส่รองเท้า ดีไซน์เข้าธีมและเข้าสีเฉพาะของ
รองเท้าซีรี่ย์ Magista สีเขียวมะนาว สีนี้เท่านั้น
เพียงแต่ดีไซน์การออกแบบดูจะเป็นดีไซน์เรียบๆ น่าเสียดายที่ไม่มีกราฟฟิกคำว่า MAGISTA พิมพ์เอาไว้
ให้โดดเด่นเลย แตกต่างจากถุงสะพายของ CTR 360 ที่ตรงกลางพิมพ์เอาไว้ด้วยตัวอักษารขนาดใหญ่ชัดเจน
หลายคนอาจจะสนใจกับรายละเอียดบนตัวรองเท้า Magista Opus เป็นหลัก ว่ามันแตกต่างจาก CTR 360
Maestri III อย่างไรบ้าง แต่ก่อนที่จะไปสำรวจเรื่องนั้น ผมจะขอพามาวัดน้ำหนักตัวของรองเท้ารุ่นนี้กันก่อน
เพราะครั้งแรกที่ผมหยิบเอารองเท้าข้างนึงมาถือเอาไว้ รู้สึกได้ทันทีเลยว่ารองเท้ารุ่นนี้ "เบามาก" คำว่าเบามาก
ในทีนี้คือ เบากว่าคาดคิดเอาไว้ และเพื่อเทียบกันเฉพาะรองเท้าประเภทเดียวกัน หรืออาจจะรวมไปถึง ไนกี้
Tiempo Legend V ที่ไนกี้ทำตลาดควบคู่กันในฐานะรองเท้าประเภทคอนโทรล
ตัวเลขน้ำหนักของ Magista Opus (ไซด์ 9.5 US , 8.5 UK , 43 Fr และ 27.5 cm) อยู่ที่ 204 กรัม/ข้าง เมื่อ
มองดูข้อมูลน้ำหนักรองเท้าฟุตบอลรุ่น/ยี่ห้อ อื่นๆ เป็นดังนี้
- ไนกี้ Tiempo Legend V 245 กรัม
- ไนกี้ Hypervenom Phantom 200 กรัม
- ไนกี้ Mercurial Vapor IX 192 กรัม
- ไนกี้ CTR 360 Maestri III 240 กรัม
- อาดิดาส Predator® Instinct 285 กรัม
- อาดิดาส adiPure 11Pro II 274 กรัม
- พูม่า King 2013 252 กรัม
จากตัวเลขที่ปรากฏออกมา จะเห็นได้ว่า Magista Opus เบาขึ้นกว่า CTR 360 Maestri III เกือบ 40 กรัม/ข้าง
เลยทีเดียว และแทบจะใกล้เคียงกับ Hypervenom Phantom ซึ่งเป็นรองเท้าประเภทจู่โจม เน้นความคล่องตัว
ส่วนคู่แข่งในตลาดโดยตรงอย่าง อาดิดาส Predator® Instinct ก็มีน้ำหนักมากกว่าถึง 81 กรัม !!! กลายเป็นว่า
เทรนด์ของไนกี้ คือสร้างรองเท้าสายคอนโทรลของตัวเองให้เบาขึ้นดั่งที่เห็น ตรงกันข้ามกับคู่แข่งจากอาดิดาส
ที่เพิ่มน้ำหนักตัวขึ้น
รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus มีวัสดุหลักของตัวรองเท้าผลิตมาจากหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์
(Kanga-Lite) แบบชิ้นเดียวกันทั้งข้าง มีรองเย็บประสานอยู่ด้านหลัง ตรงส้นเท้าเท่านั้น โดยหนังสังเคราะห์
ชนิดนี้เป็นหนังสังเคราะห์ ที่ทีมพัฒนารองเท้าฟุตบองของไนกี้ได้ออกแบบมา โดยนำเอาข้อดีของหนังสังเคราะห์
และข้อดีของหนังจิงโจ้มารวมกัน
กล่าวคือ..หนังชนิดนี้จะมีน้ำหนักเบา สามารถรีดให้บางเพื่อสร้างฟีลลิ่งการสัมผัสบอลเหมือนใช้เท้าเปล่า
หน้าสัมผัสมีแรงเสียดทาน หนังมีความนุ่มใส่สบาย ทนทานและไม่อมน้ำ ซึ่งหนังแคงกาไลท์ได้เป็นที่รู้จัก
และยอมรับจากบรรดาคนเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เจเนอเรชั่น CTR 360 Maestri I แล้ว จึงสามารถการรันตีได้ถึง
ศักยภาพของหนังสังเคราะห์ชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากรายละเอียดด้านนอกตัวรองเท้าแล้ว ยังพบว่าหน้าสัมผัสด้านในของตัวรองเท้าที่จะคอยห่อหุ้มเท้า
ของผู้สวมใส่ จะเป็นวัสดุหน้าผ้านิ่มๆ ที่มีวัสดุบุนุ่มบางๆ บุเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งวัสดุลักษณะนี้ ดูเหมือน
จะสามารถยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดี จึงให้สัมผัสที่แนบติดเท้า ช่วยให้ฟีลลิ่งเหมือนตัวรองเท้า
เป็นส่วนหนึ่งของเท้าได้มากเป็นพิเศษ และยังพอจะช่วยเพิ่มความนุ่มตอนที่สัมผัสลูกบอล..อีกเล็กน้อย
ส่วนที่เห็นเป็นพื้นผิวรูปทรงหกเหลี่ยมทางสูงแบบในภาพด้านบน ถูกเรียกว่า Microfiber Mesh เป็นลูกเล่น
ที่ไนกี้ออกแบบมาเพื่อให้ตัวรองเท้ามีพื้นผิวสัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รอบตัว ผิวสัมผัสอาจจะไม่ถูกเคลือบให้มี
ความเหนียวด้วยสารเคลือบผิว แต่พื้นผิวที่เป็นมิติ สูงต่ำ ที่ชัดเจนแบบนี้จะช่วยทำให้มันสามารถสร้างแรง
เสียดทานกับผิวของลูกฟุตบอล เพื่อให้สามารถสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอลได้อย่างรอบด้าน สมกับการเป็น
รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลที่สมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม
ทั้งนี้..ไนกี้ยังระบุข้อมูลออกมาว่า ได้เสริมเทคโนโลยีที่เรียกว่า ไนกี้สกิน (Nike Skin) ซึ่งมีความหนาเพียง
1 มิลลิเมตร แทรกตัวเอาไว้ด้วย เพื่อช่วยเพิ่มความสบายในการสวมใส่ ความกระชับและป้องกันการซึมผ่าน
ของน้ำ ผ่านทางช่องวางระหว่างเส้นใย Microfiber Mesh
หน้าสัมผัสทุกส่วนของตัวรองเท้า ยังมีเทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ซึ่งเป็นการเคลือบสาร
ชนิดพิเศษเอาไว้ ช่วยลดการจับตัวของหยดน้ำ ทำให้การควบคุมลูกฟุตบอลที่ดีในทุกสภาพสนาม ซึ่งเทคโนโลยี
ดังกล่าว ถูกจำกัดเฉพาะรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสของไนกี้ ขึ้นไป เท่านั้น
ด้านข้างของไนกี้ Magista Opus เป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์ ชิ้นเดียวกันกับด้านหน้า และมีพื้นผิว
สัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รูปทรง 6 เหลี่ยมสูง เรียงตัวตัวต่อเนื่องกันมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ลักษณะตัวรองเท้า
ของฝั่งข้างเท้าด้านใน จะมีความโค้งเว้าเข้ามาเล็กน้อย เพื่อให้ลงตัวกับการสัมผัสลูกฟุตบอลและสร้างความ
กระชับใหกับข้างเท้าด้านในไปพร้อมๆ กัน
อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่านั้น ก็คือการเล่นสีของส่วนที่เป็นพื้นผิวสัมผัสบอลรูปทรงหกเหลี่ยม และสีพื้น
ของตราไนกี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อมองในมุมมองด้านข้าง ก็จะเห็นเหมือนว่ารองเท้า 2 ข้าง เป็นคนละสี
ก็เป็นอีกหนึ่งดีไซน์การออกแบบที่สร้างความแตกต่าง สุดแล้วแต่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งลูกเล่นแบบนี้
คาดว่าจะมีเฉพาะรองเท้าบางเฉดสีเท่านั้น
ลักษณะแนวร้อยเชือกของรองเท้ารุ่นนี้ ไม่เป็นเส้นตรง โดยด้านล่างสุดจะเอียงเข้าไปยังข้างเท้าด้านใน
มากกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อเปิดพื้นที่สัมผัสบอลบริเวณหัวรองเท้าทางฝั่งข้างเท้าด้านใน (นิ้วก้อย) เพื่อเปิด
พื้นที่สำหรับการจับบอลแรกด้วยข้างเท้าด้านนอก และในทางตรงกันข้าม แนวร้อยเชือกจะช่วยสร้างความ
กระชับให้กับข้างเท้าด้านในได้มากขึ้นอีกนิด ซึ่งลักษณะแนวร้อยเชือกแบบนี้ถือเอกลักษณ์ต่อเนื่องมาจาก
ซีรี่ย์เก่า (CTR 360)
เชือกรองเท้าที่ร้อยติดตัวรองเท้ามาจากประเทศเวียดนาม เป็นเชือกรองเท้าแบบเส้นแบน หน้ากว้าง เมื่อร้อย
เชือกผ่านรูปครบถ้วนสมบูรณ์ จะสามารถจัดเรียงการวางตัวของเส้นเชือกได้ง่าย จึงช่วยลดโอกาสการรบกวน
การสัมผัสบอลบริเวณหลังเท้าลงได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เนื้อผ้าของเส้นเชือกมีความนิ่มพอสมควร เพียงแต่
เมื่อผูกปมเชือกรองเท้าแล้ว ผมยังรู้สึกเหมือนว่าปมเชือกยังจับกันไม่แน่นสนิทมากนัก เวลาเล่นอาจเกิดการ
คลายตัวได้บ้าง ต้องคอยดูกันดีๆ
ลิ้นรองเท้าของ Magista Opus เป็นลิ้นแบบสั้น ทำจากวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์เหมือนกับตัวรองเท้า
โดยช่วงกลางของลิ้น มีวัสดุบุนุ่มบรรจุเอาไว้ เพื่อให้ผู้เล่นสามารถสัมผัสบอลด้วยหลังเท้าได้อย่างนุ่มนวล
มีรูระบายอากาศเพื่อช่วยให้การยุบตัวรับแรงกระแทกของส่วนที่มีวัสดุบุนุ่ม มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะอากาศ
จะสามารถเข้าไปแทนที่ได้เมื่อไม่ได้สัมผัสบอล และเมื่อสัมผัสบอล..อากาศจะมีช่องให้ระบายออกมา นั่นเอง
รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งของลิ้นรองเท้า นอกเหนือจากกราฟฟิกสัญลักษณ์ ACC ด้านบนกับตราไนกี้แบบเอียงๆ
และสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังพบว่าด้านข้างลิ้นรองเท้า เฉพาะฝั่งข้างเท้าด้านใน มันได้ถูกเย็บติดกับตัวรองเท้า
ด้วยวัสดุผ้ายืด เพื่อเป็นการยึดตรึ่งไม่ให้ลิ้นรองเท้าขยับเอียงออกไปได้มากนัก ส่วนฝั่งข้างเท้าด้านนอกจะมี
ป้ายบอกไซด์รองเท้าเย็บเอาไว้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาตอนสวมใส่รองเท้าพอสมควร เราต้องมาคอยจับคอยขยับ
ป้ายบอกไซด์ไม่ให้มันพับหรือย่น ไม่งั้นมันจะสร้างความสำราญให้กับหลังเท้าเรา เรื่องนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไม
ไนกี้ไม่แปะป้ายบอกไซด์เอาไว้ที่ใต้ลิ้นรองเท้า หรือติดกับตัวรองเท้าด้านในไปเลย !?
ไนกี้เลือกใช้ เกราะป้องกันกระแทกส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายแบบภายนอก (External Heel Counter) ให้กับ
Magista Opus (ตอน CTR 360 Maestri III เป็นเกราะภายใน) โดยออกแบบให้ส่วนของพื้นรองเท้า ที่เป็นวัสดุ
พลาสติก Pebax ได้ถูกฉีดขึ้นรูปให้โค้งขึ้นมาปกป้องบริเวณส้นเท้าของข้างเท้าทั้งสองฝั่ง ปกปิดขึ้นมาถึงกึ่งหนึ่ง
ของข้อเท้าเลยทีเดียว ชิ้นพลาสติกมีความหนาและแข็งแรง จึงน่าจะช่วยลดแรงปะทะที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ
ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยล็อคข้อเท้าได้อย่างแน่นหนาอีกด้วย
โดยเกราะป้องกันแรงกระแทนชิ้นนี้จะเว้าตัวลงที่ด้านท้ายของส้นเท้า เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับความสบายบริเวณ
ส้นเท้าด้านหลังและเอ็นร้อยหวาย ไม่ให้ชนกับหน้าสัมผัสแข็งๆ ของเกราะส้น และสามารถใส่วัสดุบุนุ่มที่หุ้มส้น
ด้านในได้นั่นเอง
หุ้มส้นด้านในของ Magista Opus ก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากรองเท้าต้นตำรับสายคอนโทรลรุ่นก่อนอย่างชัดเจน
โดยไนกี้ใช้หันมาใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ที่ผิวหน้าถูกทำลายปุเป็นจุดเล็กๆ ช่วยเสริมให้ดูดีกว่าหน้าสัมผัสแบบ
ผิวเรียบๆ อย่างไรก็ตาม..พื้นผิวสัมผัสทั้งหมดไม่มีส่วนที่ช่วยสร้างแรงดึงดูดกับส้นเท้ามากนัก สัมผัสด้วยนิ้วมือ
แล้วไม่ค่อยยึดเกาะ ออกแนวรู้สึกลื่นๆ เรียบๆ เสียด้วยซ้ำ
ด้านในของหุ้มส้นจะมีวัสดุบุนุ่มบุเอาไว้ ค่อนข้างจะเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านท้ายส้นเท้า หรือข้างเท้าทั้ง
สองฝั่ง เพื่อเป็นตัวช่วยสร้างความสบาย ลดโอกาสเสียดสีกับเกราะป้องกันแรงกระแทก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ
ของอาการรองเท้ากัด และยังช่วยสร้างความกระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี อีกด้วย
นอกจากนั้นจะเห็นลักษณะการออกแบบของปลายหุ้มส้นด้านหลัง ว่าเป็นเป็นหุ้มส้นแบบเปิดกว้าง รองรับ
กับแนวเอ็ยร้อยหวายของคนที่ข้อเท้าใหญ่ๆ ได้ดี คนละเรื่องกับปลายหุ้มส้นของ ไนกี้ Tiempo Legend V
ที่บีบแคบเข้ามากว่านี้ จนสร้างความอึดอัดให้กับแนวเอ็นร้อยหวายเป็นอย่างมาก
แผ่นรองพื้นด้านในของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus ดูไกลๆ จะคล้ายเดียวกับแผ่นรองพื้นของไนกี้
Tiempo Legend V เลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันพอสมควร เริ่มจากสิ่งที่เหมือนกันก่อนก็คือลักษณะ
แผ่นโฟมที่ถูกเจาะให้มีรูเล็กๆ ตลอดทั่วทั้งแผ่น โดยใช้โฟม EVA ที่มีเนื้อโฟมแน่น และมีความหนาเท่ากัน
ตลอดทั้งแผ่นมาอัดขึ้นรูป และยังใช้เนื้อโฟมสีเหลืองสด เหมือนกันอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม..แผ่นรองพื้นของ Magista Opus นั้นดูจะมีทรวดทรงองเอวที่คอดเว้ามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ
ช่วงกลางจะเห็นได้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าชุดพื้นของรองเท้ารุ่นนี้มีลักษณะแคบเข้ามาพอสมควร
หน้าสัมผัสด้านบนของแผ่นรองพื้นชุดนี้ เป็นหน้าผ้าไนล่อน แม้จะไม่มีการเคลือบผิวให้หนึบเหมือนกับ
แผ่นรองพื้นรองเท้ารุ่นเก่าๆ ของไนกี้ แต่หน้าสัมผัสสีชมพูของ Magista Opus ที่เห็นจากภาพด้านบนนั้น
ก็ให้สัมผัสความฝืดพอสมควร เนื่องจากหน้าสัมผัสมีชั้นหน้าผ้าที่หนา และเนื้อผ้ามีลักษณะเป็นขุยๆ มาก
กว่าเพื่อน (จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบกับแผ่นรองพื้นของ Mercurial Vapor IX)
ส่วนด้านใต้ของแผ่นรองพื้น ไม่มีโฟม Poron เสริมมาเพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกจากพื้นสนาม เหมือนกับ
Tiempo Legend V โดยเป็นเนื้อโฟม EVA แบบเพียวๆ ที่มีจุดนูนออกมาเพื่อช่วยยึดกับชุดพื้นรองเท้าเอาไว้
ทำให้แผ่นรองพื้นมีความมั่นคง
เรามาปิดท้ายกันที่การสำรวจชุดพื้นช่วงล่างและปุ่มรองเท้าแบบ FG ของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus
กันเหมือนเดิม ซึ่งไนกี้ได้เสริมเทคโนโลยีทางวัสดุมาให้กับรองเท้ารุ่นระดับท็อปคลาสรุ่นนี้อย่างสมศักดิ์ศรี
โดยไนกี้เลือกใช้วัสดุพลาสติก Pebax ซึ่งเป็นพลาสติกทางวิศวกรรม ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง เหนียว และมี
น้ำหนักเบา มาฉีดขึ้นรูปเป็นชุดพื้นแบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด โดยผสมผสานการออกแบบให้ชุดพื้นเป็นแบบใส
ซึ่งดูดีกว่าวัสดุสีทึบ
และเมื่อเปรียบเทียบกับซีรี่ย์เก่าอย่าง CTR 360 Maestri III แล้ว จะเห็นได้ว่า Magista Opus ได้ถูกออกแบบ
ชุดปุ่มแบบ FG ใหม่ทั้งหมด จนไม่เหลือเคล้าโครงเดิมแม้แต่นิด โดยปุ่มของรองเท้าด้านหน้า มีทั้งหมด 11 ปุ่ม
แบ่งออกเป็นปุ่มตามแนวขอบรองเท้า ทั้งขอบด้านในและด้านนอก ด้านละ 4 ปุ่ม วางเรียงตัวกันแบบจับคู่
ลักษณะปุ่มทั้ง 8 ปุ่ม เป็นปุ่มทรงกรวย มีฐานปุ่มกว้างกว่าปลายปุ่มเล็กน้อย ซึ่งไนกี้มั่นใจว่าปุ่มลักษณะนี้จะช่วย
ทำให้ Magista Opus สามารถจิกเกาะพื้นสนามได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเปลี่ยนทิศทาง
ของการเคลื่อนที่แบบรอบตัว 360 องศา โดยมีฐานปุ่มที่มีขนาดกว้างคอยช่วยสร้างความมั่นคงเวลาที่ต้องลง
น้ำหนักตัวมากๆ ในจังหวะการหมุนตัว นั่นเอง
นอกเหนือจากการยึดเกาะและการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่แสนจะอิสระแล้ว ไนกี้ยังยังนิยมใช้ปุ่มตรงกลาง
ฝ่าเท้า อีก 3 ปุ่ม เป็นปุ่มแนวขวาง วางเรียงตัวกันมาตั้งแต่บริเวณหัวรองเท้า เพื่อทำหน้าที่เกาะพื้นสนามและ
สร้างแรงสปรินซ์ในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ในกรณีที่ผู้เล่นต้องการความเร็วทางตรง รายละเอียดตรงจุดนี้
แทบจะเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้าฟุตบอลจากไนกี้ ยุคปัจจุบัน..ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โครงสร้างช่วงกลาง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างชุดพื้นด้านหน้าและด้านหลัง ถูกเชื่อมกันด้วยโครงสร้างแบบใหม่
ที่ไนกี้เอามาใช้กับรองเท้าทุกซีรี่ย์ของตัวเองในปัจจุบัน โดยข้อดีของการขึ้นโครงสร้างตรงกลางให้มีหน้าตา
แบบนี้มีด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการส่งแรงดีดกลับเวลาที่ชุดพื้นโค้งงอ อันเกิดในขณะที่
ผู้เล่นสปรินซ์เคลื่อนที่ด้วยปลายเท้า เพื่อช่วยเสริมแรงดีดในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า และโครงสร้างแบบนี้ยัง
ป้องกันการบิดตัวของชุดพื้นเวลาที่ผู้เล่นสไลด์ตัวออกไปด้านข้าง ลดการเสียจังหวะหรือการพลิกตัวของรองเท้า
ลงได้
ปุ่มด้านหลังมีจำนวน 4 ปุ่ม เป็นปุ่มกลมรูปทรงกรวยเหมือนกัน แต่จะมีลักษณะยาวกว่าปุ่มด้านหน้าเล็กน้อย
และฐานปุ่มจะใหญ่หว่า เพื่อทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักตัวของผู้สวมใส่เอาไว้ และจะเห็นได้ว่าด้านล่างของ
ฐานปุ่ม จะมีโครงสร้างเชื่อมต่อมาจากปุ่มด้านหน้าและช่วงกลางรองเท้า เพื่อทำให้ชุดพื้นและปุ่มของรองเท้า
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด ช่วยสร้างความมั่นคงและประสิทธิภาพของการสปรินซ์ออกตัว ให้ไป
ในทิศทางเดียวกัน
ผู้ซื้อยังสามารถไว้ใจถึงความแข็งแรงทนทานของปุ่มรองเท้าทั้ง 15 ปุ่ม ของ Magista Opus ได้อย่างแน่นอน
เพราะไนกี้ใช้เทคนิคการฉีดพลาสติก Pebax ฐานปุ่มและชุดพื้นเป็นชิ้นเดียวกัน ก่อนที่จะฉีดครอบเป็นปลายปุ่ม
รองเท้าอีกหนึ่งชั้น แม้ว่าพื้นที่หน้าตัดของปุ่มทุกปุ่มจะดูเล็กก็ตาม
ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านสามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า Magista Opus ยังคงมีเทคโนโลยี วัสดุและลูกเล่น สมกับ
การเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสในตลาดเหมือนเดิม แต่ว่าไนกี่้จะเน้นโปรโมทรุ่นโครตท็อปที่มีวัสดุ
ฟลายนิตก็ตาม แต่ข้อดีก็คือ "ความแตกต่าง" ของรองเท้าทั้งสองรุ่น ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมี Magista Obra
ในครอบครองแล้ว แต่ผมก็ยังยืนยันว่า Magista Opus นั้นสามารถให้ประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างออกไป
มันไม่เหมือนรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์อื่นๆ ที่รองเท้าต่ำกว่าจะถูกตัดลดทอนอ๊อฟชั่น ลงมาจากที่มีในรองเท้าระดับ
ที่สูงกว่า เพราะรองเท้าทั้งสองรุ่นในซีรี่ย์ใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาบนความแตกต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้
โดยรองเท้ารุ่นนี้ จะให้ประสบการณ์และประสิทธิภาพในด้านการใช้งานเป็นอย่างไร เราไปทดสอบกันเลย
Feeling & Sizing
ไนกี้ Magista Opus ที่ผมจะสวมใส่ลงสนามทดสอบการใช้งานในบทความนี้ ยังคงเป็นรองเท้าไซด์มาตรฐาน
ของตัวผมเอง นั่นคือไซด์ 9.5 US , 8.5 UK , 43 FR หรือ 27.5 cm รองเท้าไซด์นี้ถือเป็นการเลือกที่ ตรงไซด์
กับเท้าของผม แต่เพื่อลองสวมใส่จริงๆ แล้ว จะให้ฟีลลิ่งยังไง แล้วควรจะต้องเพิ่มไซด์หรือลดไซด์หรือไม่
ผมมีคำตอบแล้ว
จุดแรกเมื่อสวมใส่รองเท้ารุ่นนี้ ต้องระมัดระวังและใช้ความปราณีตให้ดี ก็คือบริเวณลิ้นรองเท้า เพราะเมื่อเวลา
ที่เราสวมเท้าเข้าไป ลิ้นรองเท้าทางฝั่งข้างเท้าด้านนอกมันจะพับและลู่ไปกับเท้า จึงทำให้เกิดช่องว่างมองทะลุ
ไปเห็น(ถุง)เท้าของเรา และลิ้นที่พับกลับเข้ามาอีกชั้น จะทำให้หลังเท้าเรารู้สึกรำคาญพอสมควร
ตรงจุดนี้อยากแนะนำว่าให้คลายเชือกให้หลวม แล้วค่อยๆ สอดเท้าเข้าไปทีละนิดๆ ในขณะที่มืออีกข้างก็ต้อง
ช่วยประคองและถ่างลิ้นรองเท้าออกให้ตึง สเต็ปนี้เล่นเอาเหนื่อยและเกร็งเท้าพอสมควรเลยทีเดียว แต่ยังไงผม
ก็ยังแนะนำให้ทุกท่านต้องทำแบบนี้ ไม่งั้นลิ้นรองเท้าจะรบกวนบริเวณหลังเท้าเป็นอย่างมาก
เอาล่ะครับ เมื่อสวมเท้าเข้าไปเรียบร้อย พร้อมดึงกระชับแนวร้อยเชือกและผูกเชือกแบบแน่นกำลังดีแล้ว พบว่า
พื้นที่บริเวณหัวรองเท้าเหลือน้อยมา หัวรองเท้าตรงกลางที่สุด พอจะวางนิ้วหัวแม่มือตามแนวขวางลงไปได้แบบ
หมิ่นๆ จริงๆ แล้วน้อยกว่าครึ่งนิ้วด้วยซ้ำ กะประมาณระยะที่เหลือได้ประมาณ 0.2 -0.3 เซนติเมตร เท่านั้น
แต่ที่สำคัญคือหัวรองเท้าทางด้านข้างที่ตรงกับนิ้วหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย จะชนกับหัวรองเท้าแบบแน่นพอดิบพอดี
ไม่มีพื้นที่ว่างมากพอให้ขยับไปด้านหน้าได้เลย ถ้าวัดกันเยอะความยาวของตัวรองเท้า ถือได้ว่า Magista Opus
เป็นรองเท้าที่ตรงไซด์ตามความยาวเป็นอย่างมาก แทบจะไม่เจอกับรองเท้ารุ่นอื่นๆ ในตลาดปัจจุบันเลย
ส่วนลักษณะรองเท้าตามแนวขวาง บริเวณตรงกลางของตัวรองเท้า พบว่าตัวรองเท้ามีลักษณะด้านข้างที่สามารถ
เข้ารูปกับลักษณะเท้ากว้างๆ ฝ่าเท้าแบน ได้ทุกสัดส่วนจริงๆ ในขณะที่พื้นที่หลังเท้าก็กดแนบสนิทกับหลังเท้า
ของผมแทบจะ 100% ฟีลลิ่ง ณ ตรงนี้ ผมบอกเลยว่าเป็นฟีลลิ่งที่พอดีกับรูปเท้าเป็นอย่างมาก แต่ไม่ได้แน่น
จนปวดหลังเท้าเหมือนกับ Tiempo Legend V (เมื่อใส่แบบตรงไซด์)
ประเด็นตรงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในการเลือกไซด์รองเท้า Magista Opus มากๆ ถ้าใครอยากได้รองเท้า
ที่ใส่แล้วเข้ารูปพอดี แน่นและกระชับพอสมควร แต่ไม่ถึงกับอึดอัดมาก ผมยังขอแนะนำให้ท่านเลือกซื้อแบบตรงไซด์
เหมือนกับความยาวบริเวณหัวรองเท้า
ส่วนบริเวณด้านท้าย พบว่าปลายของหุ้มส้นและแนวเอ็นร้อยหวาย สูงขึ้นมาบีบกับส้นเท้าได้แน่นกระชับพอสมควร
ตรงจุดนี้ ถ้าใครที่ไม่ชอบฟีลลิ่งตรงส้นเท้าและแนวเอ็นร้อยหวายที่แน่นมาก ผมแนะนำว่าอยากให้ลองเพิ่มไซด์ไปอีก
ครึ่งไซด์ดู อาจจะพบความสบายในการสวมใส่ที่ดีขึ้นกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นผมเอง ผมยังยืนยังว่าจะเลือกไซด์ ไนกี้ Magista Opus แบบ "ตรงไซด์" เพื่อแลกกับ
ฟีลลิ่งและขนาดการสวมใส่ทีพอดีเท้าในทุกๆ สัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นหัวรองเท้า ด้านข้าง หลังเท้า และส้นเท้า
ตรงจุดนี้รองรับคนที่มีลักษณะหน้าเท้ากว้างแบบคนไทยได้ด้วย แต่ถ้าใครคิดว่าลักษณะเท้าของคุณมีความกว้าง
กว่าเท้าของคนไทยปกติ ผมแนะนำว่าให้คุณลองเพิ่มครึ่งไซด์ดู เพื่อให้ได้การสวมใส่ที่สบายขึ้น
Testing
มาเข้าสู่สถานีทดสอบการใช้งานจริงของ Magista Opus รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลซีรี่ย์ใหม่ล่าสุด
จากไนกี้ ซึ่งการทดสอบจะแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ตามมาตรฐานของ SiamBoots โดยในแต่ละหัวข้อนั้น
จะมีการวิพากษ์วิจารณ์รายละเอียดเชิงลึก เปรียบเทียบกับรองเท้าคู่แข่งในตลาด และแน่นอนว่ารองเท้าคู่แข่ง
สำหรับการเปรียบเทียบในนั้น จะต้องหนีไม่พ้น อาดิดาส Predator® Instinct ที่เป็นรองเท้าสายพันธุ์คอนโทรล
คู่แข่งโดยตรง แถมรีวิวจากรองเท้าก็ทำคะแนนเอาไว้สูงที่สุดอีกด้วย ส่วนอีกรายคือ พูม่า evoPower 1 ซึ่งถือ
เป็นรองเท้าประเภทกึ่งคอนโทรลกึ่งพาวเว่อร์ ที่ออกตัวแรงตั้งแต่ต้นปี ส่วนรายสุดท้ายคือ ไนกี้ CTR 360
Maestri III ซึ่งเป็นรองเท้ารุ่นที่ทุกคนสรุปว่ามันคือเจเนอเรชั่นก่อนหน้าของ Magista Opus นั่นเอง
สำหรับการรีวิวทดสอบในครั้งนี้ ผมกลับมาใช้สนามฟุตบอลในร่มหญ้าเทียม ย่านปิ่นเกล้า เจ้าประจำ อย่าง
Winning 7 อีกครั้งนึง เนื่องจากต้องการควบคุมเรื่องคุณภาพของสนาม ไม่ให้มามีส่วนในการสร้างความแตกต่าง
ของแต่ละการทดสอบ
ความสบายในการสวมใส่
ความสบายในการสวมใส่ จะเป็นหัวข้อการทดสอบแรก ของไนกี้ Magista Opus เหมือนกับรองเท้ารุ่นอื่นๆ
มาดูกันมา รองเท้ารุ่นนี้จะให้ฟีลลิ่งในด้านความสบายเท้า การระบายความร้อย หรือมีจุดไหนที่สร้างความอึดอัด
และกัดส้นเท้าบ้างไหม โดยจะทดสอบบนพื้นฐานของภาพรวมการใช้งาน มีทั้งจังหวะการเล่นจริงจัง หรือแม้
แต่ใส่ลงไปวอร์มอัพ
หลังจากที่ได้ลองสวมใส่รองเท้ารุ่นนี้ดูแล้ว เรียนตามตรงเลยครับว่า Magista Opus ไม่ใช่รองเท้าฟุตบอล
ประเภทที่มีความสบายในการสวมใส่ เป็นจุดเด่นหลัก ตัวรองเท้าถือได้ว่าเน้นการบีบกระชับเข้ารูปเข้ามากๆ
แรกๆ รู้สึกว่ามันอึดอัดพอสมควร จำเป็นต้องให้ตัวรองเท้าผ่านการใช้งานไปประมาณ 3-4 ครั้ง ถึงจะเริ่มเข้าที่
เข้าทาง อย่างไรก็ตาม...พื้นที่บริเวณหัวรองเท้า ที่มีระยะเหลือเล็กน้อย (ในกรณีที่คุณเลือกตรงไซด์) ไม่เป็น
ปัญหาอะไร เราสามารถใช้งาน เคลื่อนที่ได้ตามปกติ นิ้วเท้าไม่ถึงกันชนเกิดอาการเกร็งหรือเมื่อยฝ่าเท้า
ซึ่งดีขึ้นกว่าตอนที่เคยใช้ ไนกี้ CTR 360 Maestri III แบบตรงไซด์
เพียงแต่บริเวณส้นเท้าและปลายหุ้มเอ็นร้อยหวาย ยังถือเป็นจุดเสี่ยงสำหรับคนที่ส้นเท้าบาง กล่าวคือ
หุ้มส้นของรองเท้ารุ่นนี้ค่อนข้างแน่น เต็มระยะและอึดอัดพอสมควร โดยเฉพาะบริเวณปลายหุ้มส้นเอ็นร้อยหวาย
ที่บีบเข้ากับร่องเอ็นร้อยหวายของเราเต็มที่ อาการกัดส้นเท้าพอมีให้ได้พบเจอในระยะแรกๆ แต่แค่พอคันๆ
ไม่ถึงกับเป็นแผลเหวอะ หรือน่ากังวลอะไร
ส่วนเรื่องการระบายความร้อนก็เช่นกัน ไนกี้ Magista Opus คู่นี้ มีประสิทธิภาพการระบายอากาศและความร้อน
ในระดับกลางๆ ตามมาตรฐานของรองเท้าฟุตบอลประเภทหนังสังเคราะห์ทั่วๆ ไป จริงๆ พอจะถือว่าใกล้เคียงกับ
อาดิดาส Predator® Instinct ก็ว่าได้ แต่ถ้าเทียบกับ พูม่า evoPower 1 แล้ว ผมว่ารองเท้าจากค่ายเสือกกระโดด
แอบระบายความร้อนได้ดีกว่า นิดนึงนะ
โดยภาพรวมแล้ว ผมให้ Magista Opus ใส่สบายขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นเก่าอย่าง CTR 360 Maestri III เล็กน้อย
จึงขอเพิ่มให้ 1 คะแนน แต่ยังเป็นรองสองคู่แข่งจากอาดิดาสและพูม่า อย่างมิอาจปฏิเสธได้
คะแนน
- ความสบายในการสวมใส่ 7/10
การรองรับแรงกระแทก
ในเรื่องของประสิทธิภาพการการรองรับแรงกระแทกจากพื้นสนาม ยังต้องบอกว่าไม่แตกต่างจากเดิมเลย
แม้แต่น้อย ชุดแผ่นรองพื้นชุดเดิม ที่เหมือนกับ CTR 360 Maestri III ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้
การรองรับแรงกระแทกทำได้ดีเหมือนเดิม โดยแผ่นรองพื้นชุดนนี้มีเนื้อโฟมที่หนา มีระดับความแน่นของเนื้อโฟม
แน่น แต่ไม่ถึงกับแข็งทื่อ สามารถถูกแรงกดและให้ตัวเพื่อช่วยผ่อนแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติ
ตรงจุดนี้ ผมถือว่าทำได้ดีกว่าเนื้อโฟมของอาดิดาส Predator® Instinct จนรู้สึกได้
ส่วนประเด็นที่ว่าไนกี้ออกแบบปุ่ม FG ใหม่ให้ Magista Opus เปลี่ยนมาใช้ปุ่มกลมมีฐานกว้างแบบทรงโคน
พบว่ามันไม่ได้สร้างความแตกต่างในแง่ของการลงน้ำหนัก ปุ่มทุกปุ่มช่วยทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกได้เท่าๆ กัน
ยืมได้เต็มเท้า และไม่พบว่ามีปุ่มใดยาวออกมามากจนทิ่มเท้า ส่วนวัสดุที่เปลี่ยนมาใช้พลาสติก Pebax แทน TPU
(ของ CTR 360 Maestri III) ก็ไม่มีผลอะไรเช่นกัน
โดยภาพรวม ยังยอมรับว่าไนกี้ไม่ได้สร้างความแตกต่างกับให้ช่วงล่าง ของ Magista Opus ให้เหนือกว่าเดิม
เพราะว่าถือเป็นรองเท้าที่สามารถให้ประสิทธิภาพของการรองรับและผ่อนแรงกระแทก ได้ดีมากๆ อยู่แล้วในปัจจุบัน
รองเท้ารุ่นนี้ แม้ปุ่มจะดูแหลม และพื้นที่หน้าตัดแคบ แต่ก็สามารถสวมใส่ใช้งานได้ทุกสภาพสนาม ไม่ว่าจะเป็น
สนามหญ้าเทียม หรือสนามดินที่แข็งๆ หน่อย ผู้ใช้งานที่มีปัญหาในเรื่องของการรับแรงกระแทก สามารถใช้งานได้
โดยไม่ต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษคะแนน
- การรองรับแรงกระแทก 8/10
การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม
มาต่อกันที่การทดสอบประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม ถึงแม้จะไม่ใช่
คุณสมบัติที่ต้องเน้นของรองเท้าประเภทคอนโทรล แต่เมื่อผ่านการใช้งานมาแล้ว ผมรู้สึกชอบประสิทธิภาพ
ตรงจุดนี้ของ Magista Opus เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เริ่มกันที่การสปรินซ์ทำความเร็วในทางตรง พบว่าการออกแบบช่วงล่างและชุดพื้นใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะ
ตรงกลางฝ่าเท้าที่ช่วยเชื่อมประสานระหว่างชุดพื้นด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยเปลี่ยนความดุดันในการเคลื่อนที่
ให้รู้สึกถึงแรงสปรินซ์ได้อย่างรวดเร็วและทันความต้องการมากขึ้น ในขณะที่โครงสร้างฐานแบบตัว X ซึ่งยกเอา
ชุดพื้นของ Hypervenom Plantom มาเป็นแบบแผน นั้นสามารถสร้างความมั่นคงในการลงน้ำหนัก ในจังหวะ
ที่เราต้องใส่เต็มสปีดได้ดีไม่แพ้กับชุดพื้นแบบฐานกว้าง
ถ้าพูดเฉพาะเรื่องของความดุดันและการตอบสนองในการออกตัว ผมยอมรับว่า Magista Opus ทำได้ดีขึ้นกว่า
ไนกี้ CTR 360 Maestri III และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังรวมถึง อาดิดาส Predator® Instinct และ พูม่า
evoPower 1 อีกด้วย แต่เท่านั้นยังไม่พอ..เพราะยังรู้สึกว่าชุดพื้นสามารถส่งแรงดีดกลับได้รุนแรงกว่า ชุดพื้นของ
ไนกี้ Tiempo Legeng V ซึ่งมีชุดพื้นและแนววางปุ่มที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด พอสมควร เนื่องจากโครงสร้าง
รูปตัว X ของ Magista Opus นั้นมีความหนาและแข็งแรงกว่า จึงสามารถเกิดแรงดีดได้ดีกว่า นั่นเอง
ปุ่มของรองเท้ารุ่นนี้สามารถจิกลงไปยังพื้นสนามได้ดีมาก ให้การยึดเกาะที่มั่นคง แม้เป็นจังหวะการเคลื่อนที่
ด้วยความเร็วก็ทำได้ดี แต่การจิกพื้นสนามของปุ่ม จะไม่ได้โดดเด่นไปกว่าปุ่มสามเหลี่ยมของ อาดิดาส
Predator® Instinct หรือปุ่มแนวครึ่งวงกลมของ CTR 360 Maestri III ทั้งนี้..ผมมองว่า มันก็เพียงพอที่จะทำ
ให้คุณสามารถสับขาหลอกล่อ หรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ ไม่ต่างกัน
ส่วนจุดเด่นสำคัญจริงๆ ของ Magista Opus คือ เป็นรองเท้าที่สามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่าง
อิสระมากรอบด้านแบบ 360 องศา และเป็นปุ่มที่จิกพื้น แล้วสามารถหมุนตัวได้แบบแทบไม่เกิดการสะดุด
หรือเสียจังหวะซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญสำหรับรองเท้าฟุตบอลที่ออกแบบมาเพื่อผู้เล่นกองกลาง ให้สามารถ
กลับตัวลงมาเพื่อเล่นเกมส์รับ แล้วกลับตัวขึ้นไปเติมเกมส์รุกได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่น้ำหนักตัวรองเท้าที่เบาลงกว่าเดิมมากเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นจะสามารถใช้งาน
รองเท้ารุ่นนี้เพื่อเน้นความเร็วของการเคลื่อนที่โดยภาพรวมได้อย่างแน่นอน
ไปๆ มาๆ แล้ว ไนกี้ Magista Opus เป็นรองเท้าฟุตบอลประเภทคอนโทรลที่มีประสิทธิภาพด้านการเคลื่อนที่
ที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ จุดเด่นอยู่ที่ชุดพื้นที่มีความแข็ง มีโครงสร้างที่ช่วยทำให้เกิดแรงดีดกลับได้ดีขึ้น
ในขณะที่ปุ่มรองเท้าเอง ก็เอื้อประโยชน์ให้การพลิกตัวหรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ สามารถทำได้อย่าง
ราบลื่น รวดเร็วและไร้การสะดุด หากมองเปรียบเทียบกับชุดพื้นและปุ่มของ Mercurial SuperFly IV และ
Mercurial Vapor X (ที่กำลังจะรีวิว) แล้ว อาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย โดยรองเท้าสายจรวดทางเรียบนั้นจะเน้น
การจิกพื้นสนามที่แม่นยำมาก พุ่งจิกพื้นสนามและช่วงส่งแรงสปรินซ์ได้ดีกว่า ในขณะที่ทางฝั่ง Magista Opus
จะไปในอารมณ์การหมุนตัวเพื่ออเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ ได้อย่างเป็นอิสระมากกว่า ดังนั้น..ในหัวข้อนี้
ผมขอลงคะแนนไว้ที่ 9 เต็ม 10 คะแนน
คะแนน
- การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม 9/10
ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน
ณ ตอนนี้ ผมกล้าพูดเต็มปากว่า ไนกี้ Magista Opus เป็นรองเท้าฟุตบอลที่สามารถสร้างฟีลลิ่ง ความกระชับ
และให้ความมั่นใจเมื่อใช้งาน ได้ดีที่สุดแล้วในบรรดารองเท้าฟุตบอลประเภทที่ไม่มีหุ้มข้อ !! รองเท้ารุ่นนี้
เหมาะสำหรับคนที่อยากได้รองเท้าฟุตบอลที่ใส่เข้ารูปกับเท้าได้ดี ทั้งด้านหน้า ตรงกลาง และส่วนหลัง
ปกติรองเท้าทรงเรียวยาวหลายๆ ซีรี่ย์ในตลาด แม้ด้านข้างจะกระชับ แต่หัวรองเท้ากลับเหลือ โดยเฉพาะ
หรือถ้าอยากจะใส่ให้หัวรองเท้าพอดี ก็จะต้องยอมฝืนทนกับการบีบด้านข้าง คนที่มีลักษณะหน้าเท้ากว้าง
จะยิ่งได้พบเจอปัญหานี้บ่อยๆ สุดท้ายจึงจำเป็นต้องยอมใส่แบบหัวเหลือ จนเป็นปัญหาเรื่องความมั่นใจ
ที่หายไป
แต่กับไนกี้ Magista Opus ไม่ใช่แบบนั้น ยิ่งถ้าใครเลือกไซด์รองเท้าแบบตรงไซด์ตามที่ผมแนะนำไป
ก่อนหน้านี้ จะพบว่าพื้นที่หัวรองเท้าเหลือกำลังดี ด้านข้างเท้าทั้งสองข้างบีบกระชับเข้ารูป เป็นอย่างมาก
ในขณะที่หลังเท้ารู้สึกกดลงมาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับกดจนปวดหลังเท้าเหมือนกับตอนใส่ Tiempo Legend V
แบบตรงไซด์ ส่วนพื้นที่ด้านหลังที่เป็นหุ้มส้นและแนวเอ็นร้อยหวาย ตอนใส่แรกๆ อาจจะอึดอัดสักหน่อย
มีอาการกัดพอคันๆ แต่ถ้าทนไปซัก 2-3 ครั้ง รับรองเลยว่ามันจะลงตัวเป็นความพอดี จับกระชับเข้ารูป
และสร้างความมั่นใจได้เป็นเต็มเปี่ยม
ในขณะที่แผ่นรองพื้นด้านในรองเท้า ซึ่งเปลี่ยนจากผิวหน้าแบบเคลือบสารกันลื่น มาเป็นวัสดุหน้าผ้า
ไนล่อน เป็นรูๆ แบบที่เจอในรองเท้าฟุตบอลของไนกี้ในทุกๆ ซีรี่ย์ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะเจออาการ
ฝ่าเท้าลื่นไป-มา ระหว่างการใช้งาน ในเมื่อการออกตัวรูปทรงของรองเท้ามันสามารถสร้างความกระชับ
ได้ทุกๆ ส่วนแบบนั้น ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้เท้าของเราสามารถขยับลื่นไถลไป-มา ได้แล้ว
อย่างที่เปิดตัวไปตั้งแต่แรกล่ะครับ ว่าไนกี้ Magista Opus เป็นรองเท้าฟุตบอลประเภทที่ไม่มีหุ้มข้อ
ที่สามารถให้ ฟีลลิ่ง ความกระชับและให้ความมั่นใจเมื่อใช้งาน จริงๆ แอบดีกว่าพวก ไนกี้ Mercurial
Vapor IX เล็กน้อยด้วยครับ แต่ถ้ามองถึงตัวเลขการให้คะแนน คงขอให้ที่ 10 เต็ม 10 เท่ากัน และ
แน่นอนว่าเป็นรองเท้าที่มีคุณสมบัติในหัวข้อนี้ ดีที่สุดแล้วในคลาสรองเท้าฟุตบอลประเภทคอนโทรล
คะแนน
- ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน 10/10
การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล
เรามาทดสอบกันต่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจับควบคุมบอลแรก และการรับและแปส่งบอลของรองเท้า
สายพันธุ์คอนโทรลป้ายแดง ไนกี้ Magista Opus ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญอันดับหนึ่งของรองเท้าประเภทนี้
ไปทดสอบกันว่ารองเท้ารุ่นนี้ จะทำได้ดีแค่ไหน
ฟีลลิ่งการสัมผัสบอลแรกของ Magista Opus ไม่ได้เรียกว่าบางติดเท้า แล้วก็ไม่ถึงกับหนานุ่ม ถ้าต้องการดูดบอล
ลงพื้นให้นุ่มนวล ผู้เล่นจำเป็นต้องมีทักษะการผ่อนแรงมาช่วยบ้างเล็กน้อย แม้ว่าลักษณะของหนังแคงกาไลท์
ค่อนข้างที่จะบาง แต่บนหน้าสัมผัสของตัวรองเท้าดันมีปั๊มให้เกิด Pattern นูนต่ำเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อช่วย
เพิ่มพื้นที่การสัมผัสบอล มันพอจะมีระยะยืดหยุ่นยุบตัวเพื่อช่วยผ่อนแรงได้ แต่ไม่มาก ซึ่งมีผลทำให้ตัวรองเท้า
มีความหนาและแข็งขึ้นมาอีกนิด
โดยฟีลลิ่งตอนจับบอลแรกของรองเท้ารุ่นนี้ จะอยู่กึ่งกลางระหว่าง Predator® Instinct และ evoPower 1
กล่าวคือ เวลาเท้าสัมผัสบอลจะไม่รู้สึกหนาเหมือนกับรองเท้าคู่แข่งจากอาดิดาส เพราะรายนั้นมีวัสดุจำพวก
แถบยาง ติดบนหน้าสัมผัสของตัวรองเท้าอีกชั้นนึง และก็ไม่รู้สึกนุ่มนิ่มเท้า เท่ากับรองเท้าคู่แข่งจากพูม่า
หากเปรียบเทียบกับหน้าสัมผัสของ CTR 360 Maestri III ผมพอจะรู้สึกได้ว่า หนังแคงกาไลท์ของ CTR 360
มีความนุ่มและหนากว่าเล็กน้อย..ด้วยซ้ำ
ในกรณีที่ลูกบอลถูกส่งมาแบบพุ่งเข้าหาในระดับราบ จำเป็นต้องใช้ด้านข้างของตัวรองเท้าเป็นพื้นที่จับบอล
จะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า พื้นผิว 3 มิติ บนตัวรองเท้าสามารถช่วยลดแรงแฉลบของลูกฟุตบอลได้ดีมาก
ไม่แพ้วัสดุแถบยางบนตัวรองเท้าของ Predator® Instinct เลย และไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ข้างเท้าด้านใน
แต่ยังรวมถึงข้างเท้าด้านนอก ที่มีคุณสมบัติตรงจุดนี้เหมือนกัน รายละเอียดดังกล่าวส่งผลให้ Magista Opus
สามารถใช้ทุกส่วนบนตัวรองเท้าเพื่อการจับบอลแรกได้ดี..เหมือนกันทั้งหมด
ส่วนการผ่อนแรงเพื่อจะจับให้อยู่เท้านั้น ยังเป็นกรณีเดียวกับการจับบอลด้วยพื้นที่หลังเท้า คือ..จำเป็นต้อง
พึ่งทักษะการจับบอลแรกและการผ่อนแรงเฉพาะตัวของผู้เล่นบ้าง แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากสัมผัสของ
ตัวรองเท้าไม่นุ่มนวล อย่างไรก็ตาม..สำหรับคนที่ยังไม่ชำนาญการผ่อนแรง บอกเลยครับว่ารองเท้ารุ่นนี้จะช่วย
ให้ท่านฝึกฝนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากลักษณะของรูปทรงตัวรองเท้าที่สอดรับกับความกลมของลูกฟุตบอลได้เต็มใบ
สำหรับการแปส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านใน รองเท้ารุ่นนี้มีดีตรงนี้เราสามารถใช้ข้างเท้าด้านใน เปิดขึ้น
เพื่อเข้าสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้เต็มใบ จึงทำให้การควบคุมทิศทางทำได้ไม่ยากเย็นเลย ในขณะที่พื้นผิว
สัมผัสแบบ 3 มิติ ที่ลึกเข้ามาจนถึงบริเวณดังกล่าว ก็พอที่จะช่วยสร้างแรงเฉือน ทำให้การแปส่งบอลแบบ
ให้ติดไซด์โค้งนั้นสามารถทำได้ ดีกว่าแถบยางชิ้นแบนๆ บริเวณข้างเท้าด้านในของ Predator® Instinct
ด้วยสิเออ
แต่ถึงกระนั้น..น้ำหนักของลูกฟุตบอลที่ถูกแปออกไปจากเท้า ยังเป็นรายละเอียดที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก
แม้ว่าถ้าจะมองผ่านๆ จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้ามองในฐานะรองเท้าสายพันธุ์คอนโทรลสำหรับออกกลาง
ที่ต้องเน้นการออกบอลที่แม่นยำแล้ว ผมยังรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของลูกฟุตบอลที่แปออกไปจากเท้านั้น ยังทำได้
ไม่หนักแน่นเหมือนกับ อาดิดาส Predator® Instinct และรองเท้ารุ่นเก่าอย่าง CTR 360 Maestri III
ซึ่งตรงจุดนี้พอจะทดแทนได้..โดยเน้นการแปบอลแบบกระแทกเข้าไป ด้วยกำลังขาของเรา
โดยภาพรวมแล้ว ประสิทธิภาพการจับควบคุมบอลแรกและแปส่งบอล ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญ
ที่สุดของรองเท้าประเภทคอนโทรล ผมยังถือว่าไนกี้ Magista Opus เหมือนจะยังขาดในเรื่องของความหนักแน่น
และฟีลลิ่งทั้งตอนจับบอลและแปบอลแรกไปนิดนึง ซึ่งยังไม่สมบูรณ์พอที่จะทำให้ผมลงคะแนนให้ในระดับ
10 เต็ม 10 คะแนน
คะแนน
- การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล 9/10
การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า
ประสิทธิภาพการควบคุมการเปลี่ยนทิศทางของลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า ของรองเท้าฟุตบอล Magista Opus
คู่นี้ อาจจะไม่ใช่หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของรองเท้าฟุตบอลประเภทคอนโทรลน้องใหม่จากไนกี้ เนื่องจากฟีลลิ่ง
การสัมผัสบอล ระหว่างหนังของตัวรองเท้ากับลูกฟุตบอลนั้น จะบางติดเท้าก็ไม่ใช่ หรือจะหนาเกินไปก็ไม่เชิง
โดยฟีลลิ่งจะอยู่ก่ำกึ่งระหว่างสองคุณสมบัติดังกล่าว สามารถตอบโจท์ผู้เล่นที่ไม่ได้ต้องการฟีลลิ่งสัมผัสบอล
ที่บางติดเท้าและ/หรือหนามากเกินไป การควบคุมน้ำหนักของลูกฟุตบอลที่แตะออกไปแต่ละครั้ง ทำได้สม่ำเสมอ
ดีเหลือเกิน เนื่องจากลักษณะพื้นที่สัมผัสบอลโดยส่วนใหญ่บนตัวรองเท้า มีลักษณะเดียวกันทั้งหมด
ส่วนการควบคุมและเปลี่ยนทิศทางของลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า พบว่าพื้นผิวแบบ 3 มิติ รอบตัวรองเท้านั้น
พอจะช่วยควบคุมและสร้างแรงเสียดทาน ให้ลูกฟุตบอลเปลี่ยนทิศทางไปในตำแหน่งที่ต้องการได้ดีพอสมควร
เพียงแต่ผมรู้สึกได้ว่า มันไม่หนึบ ไม่แม่นยำและไม่ติดหน้าสัมผัสของตัวรองเท้า เหมือนกับ Predator® Instinct
ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะไม่ถูกใจผู้เล่นที่ชอบพาบอลทะลุทะลวงด้วยความเร็ว และต้องการควบคุมการเปลี่ยนทิศทาง
ที่แม่นยำและมั่นใจ โดยเฉพาะในพื้นที่แคบที่เวลาเพียงเสี้ยววินาทีมีผลต่อการตัดสิน
อย่างไรก็ตาม..รองเท้ารุ่นนี้ยังมีดีกว่าชาวบ้าน ตรงที่มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับสัมผัสควบคุมและเปลี่ยนทิศทาง
ของลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้าได้อย่างรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นข้างเท้าด้านใน ข้างเท้าด้านนอก หรือบริเวณ
หัวรองเท้า ไม่จำเป็นต้องมาพะวงว่าจะวางเท้าเข้าสัมผัสเลี้ยงบอลด้วยท่าไหนดี
โดยภาพรวมผมสรุปได้ว่า ไนกี้ Magista Opus พอจะมีประสิทธิภาพการในควบคุมและพาบอลไปกับเท้าได้ดี
พอตัว เพียงแต่หนังของตัวรองเท้ารุ่นนี้จะให้ฟีลลิ่งการแตะบอลที่ไม่บางเป็นธรรมชาติ และก็ไม่ได้หนานุ่ม
ส่วนพื้นผิวสัมผัสรอบตัวรองเท้าแบบ 3 มิติ สามารถช่วยสัมผัสและเปลี่ยนทิศทางได้ดีพอประมาณ แต่ยังขาด
ในเรื่องของความหนึบ ซึ่งมีผลต่อความรวดเร็วและความแม่นยำของการควบคุมลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า
คะแนน
- การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า 8/10
ความสามารถในการยิงประตู
หากยังจำกันได้ อาดิดาส Predator® Instinct เป็นรองเท้ารุ่นที่เน้นการยิงประตูที่หนักหน่วง ยิงแล้ว
ลูกพุ่งส่ายกันเห็นๆ และควบคุมทิศทางและปั่นไซด์ได้ดีมาก แต่การสัมผัสบอลจะหนาเท้าที่สุด ในขณะที่
พูม่า evoPower 1 เป็นรองเท้าที่ให้สัมผัสตอนยิงนุ่มเท้ามาก ยิงเต็มเท้า เน้นการยิงแบบกระแทกได้สนุก สุดๆ
ส่วนไนกี้ CTR 360 Maestri III ก็ทำได้ดีในเรื่องของความนุ่ม และพื้นที่สำหรับบอลที่ “เคลียร์” เข้าสัมผัส
โดนลูกฟุตบอลได้เต็มใบที่สุด แต่สำหรับ ไนกี้ Magista Opus จะมีประสิทธิภาพของการยิงประตูวางอยู่
กึ่งกลางระหว่างรองเท้าฟุตบอลคู่เปรียบเทียบทั้งหมดที่กล่าวมา
มาว่ากันที่ตอนวางเท้าหลักเพื่อจะส่งแรงยิงลูกฟุตบอล พบว่าปุ่มของ Magista Opus สามารถจิกลงไป
ยังพื้นสนามได้ลึกกำลังดี อาจจะรู้สึกว่ายึดเกาะได้ไม่นิ่งสนิทเหมือนกับปุ่มของ Predator® Instinct
แต่ผมถือว่าเพียงพอแล้วที่จะทำให้การวางเท้าหลักทำได้อย่างมั่นคง ในขณะที่โครงสร้างของชุดพื้นช่วง
กลางที่กว้าง มีโครงสร้างที่เป็นตัว X สามารถช่วยเสริมความมั่นคงของการวางเท้าได้เต็มฝ่าเท้า ช่วย
ที่สำคัญคือ..สามารถสร้างแรงสปริง ทำให้การเหวี่ยงเท้าเพื่อถ่ายเทน้ำหนักทำได้ดุดันที่สุดแล้วในกลุ่ม
แม้ว่าการถ่ายเทน้ำหนักและแรงเหวี่ยงของช่วงล่างจะทำได้ดีมาก แต่น้ำหนักของการยิงลูกฟุตบอลนั้น
บอกได้คำเดียวว่าตัวรองเท้าแทบจะไม่มีบทบาทเอาเสียเลย แน่นอนว่าประเด็นแรกคือตัวรองเท้ามีน้ำหนักเบา
ส่วนประเด็นที่สองก็คือวัสดุหนังหน้าสัมผัสของตัวรองเท้านั้นให้อารมณ์การสัมผัสบอลที่บาง แบนและแอบมี
ความแข็งกว่าคู่แข่งในตลาดทั้งหมด แม้ว่าหน้าสัมผัสของตัวรองเท้าจะเปิดกว้าง สามารถเข้าถึงลูกฟุตบอล
ได้อย่างไม่มีที่ติ
แต่ฟีลลิ่งการยิงจะรู้สึกได้ว่าความหนักแน่นของวินาทีที่หน้าเท้าสัมผัสกับลูกบอลได้หายไปจากเดิม
(เปรียบเทียบกับหนังแคงกาไลท์ของ CTR 360 Maestri III) ทั้งนี้ยังมีเรื่องของแรงปะทะที่สะท้อน
กลับมาให้รู้สึกพอคันเท้าเล่นๆ เล็กน้อย ดังนั้นไนกี้ Magista Opus จึงอาจไม่ตอบโจทย์กับผู้เล่นที่
กำลังมองหารองเท้าฟุตบอล ที่ให้ฟีลลิ่งตอนยิงแบบหนักหน่วงและเต็มสัมผัส สักเท่าไรนัก
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการควบคุมทิศทางและการปั่นไซร้โค้ง ของ Magista Opus นั้น โดยภาพรวม
ถือได้ว่าเป็นรองเท้าที่ควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลที่ยิงออกไปจากเท้าได้ดี การยิงในทิศทางตรงหน้า
ทำได้ดั่งใจไร้ปัญหา เพราะหน้าสัมผัสส่วนใหญ่ของตัวรองเท้ามีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด พื้นที่สัมผัสบอล
เปิดกว้าง เข้าถึงได้ง่ายโดยไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งโผล่ออกมาชิงสัมผัสบอลก่อน
ในขณะที่การปั่นไซด์โค้งนั้นถือได้ว่าทำออกมาได้ดีเกินคาด แม้จะไม่มีวัสดุชิ้นยาง แต่เจ้าโครงสร้างรวงผึ้ง
รูปทรงหกเหลี่ยม สามารถช่วยสร้างแรงเสียดทาน ซึ่งเกิดจากรอยนูน 3 มิติ และพื้นที่สัมผัสบอลที่เพิ่มขึ้น ช่วยกันทำให้การปั่นไซร้โค้งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงจุดนี้ถือว่าทำได้ดีกว่า พูม่า evoPower 1 แต่ยังด้อยว่าแถบยางโซนอันตรายของ อาดิดาส Predator® Instinct อยู่เล็กน้อย
สรุปประสิทธิภาพโดยภาพรวมในหัวข้อนี้ ของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus นั้น ยังคงทำได้ตาม
มาตรฐานที่ดี ในเรื่องของการควบคุมทิศทางและการปั่นไซด์ ตามประสารองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรล
นั่นเอง ส่วนเรื่องการว่างเท้าและการส่งแรง พบว่าชุดพื้นและปุ่มทำหน้าที่ได้ดี ในการส่งแรงที่ดุดันไร้ปัญหา
แต่ที่ยังต้องยอมรับกันตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม ก็คือความสนุกหรือฟีลลิ่งในการยิงประตูแบบเต็มแรง
นั้นยังสู้รองเท้าคู่แข่งในตลาดรายอื่นๆ ไม่ได้ หน้าสัมผัสของตัวรองเท้ายังสัมผัสบอลได้ไม่เต็มเท้า
และหนักแน่นแถมยังมีปัจจัยของน้ำหนักตัวที่มาเกี่ยวข้องอีกด้วย
คะแนน
- ความสามารถในการยิงประตูและเปิดบอลโด่ง 8/10
การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่
มาปิดท้ายกันที่ประสิทธิภาพในด้านการป้องกันอาการบาดเจ็บให้กับผู้สวมใส่ ของรองเท้าฟุตบอล
ไนกี้ Magista Opus กันครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความชื่นชอบเกราะป้องกันส้นเท้าและเอ็นร้อยหวาย
แบบภายนอก ที่เป็นเกราะพลาสติกสุดหนา โอบรอบนอกของแนวส้นเท้า เมื่อรวมกับช่วงหุ้มส้น ข้อเท้า
และหุ้มแนวเอ็นร้อยหวาย มันยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการปกป้องส้นเท้าได้อย่างยอดเยี่ยม
ในตอนรีวิวทดสอบการใช้งาน ผมมีโอกาสได้เจอเคสที่แปบอลออกไปจากเท้า แล้วดันไปปะทะกับ
คู่แข่ง ที่หงายปุ่มรองเท้าสวนเข้าไปใส่ที่ข้อเท้าของผม แน่นอนว่ามีความเจ็บจากการปะทะให้ได้รู้สึก
แต่ผมกลับรู้สึกว่าจังหวะที่โดนปะทะนั้น ช่วยหุ้มข้อและส้นเท้า มันช่วยจับล็อคข้อเท้าของผมให้มั่นคง
ไม่เกิดการพลิกตามแรงปะทะ ตรงจุดนี้เป็นจุดที่ผมประทับใจมาก และมั่นใจว่าให้การป้องกันได้ดีกว่า
ส่วนหุ้มส้นของทั้ง อาดิดาส Predator® Instinct และ พูม่า evoPower 1 อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม..อัพเปอร์ของตัวรองเท้า ยังไม่ช่วยลดแรงปะทะในจังหวะที่ถูกคู่แข่งเข้าปะทะ หรือ
เปิดปุ่มเหยียบเข้าใส่บนหลังเท้า ได้ดีนัก เนื่องจากวัสดุตัวรองเท้ามีค่อยมีระยะยืดหยุ่น และไม่มีวัสดุ
อื่นใดมาช่วยดูดซับแรงปะทะ (เช่นแถบยาง หรือโฟม)
ดังนั้น..ถ้ามองโดยภาพรวมแล้ว ถือได้ว่า ได้อย่างเสียอย่าง อยู่ที่ว่าคุณผู้อ่านจะเลือกปกป้องส่วนไหน
เป็นสำคัญ ผมจึงของลงตัวเลขคะแนนในส่วนนี้ ของไนกี้ Magista Opus เอาไว้ที่ 8 เต็ม 10 คะแนน
แม้จะเท่ากันกับรองเท้าคู่แข่งจากอาดิดาส และพูม่า แต่เป็นตัวเลขที่สูงกว่า ไนกี้ CTR 360 Maestri III
ถึง 2 คะแนน เลยทีเดียว !!
คะแนน
- การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ 8/10
Conclusion
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับบทวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้งานจริงในสนาม ของรองเท้าฟุตบอล
ประเภทคอนโทรลระดับท็อปคลาสจากไนกี้คู่นี้ ตัวเลขคะแนนในหัวข้อต่างๆ ที่ปรากฏออกมา คงพอจะบอก
ถึงคุณสมบัติของรองเท้ารุ่นนี้ไดแค่คร่าวๆ เท่านั้น ซึ่งผมอยากจะเน้นย้ำว่า รองเท้าหลายรุ่นมีคะแนนในหัวข้อ
ทดสอบต่างๆ ที่เท่ากัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีรายะเอียดต่างๆ ที่เหมือนกัน ผมจึงอยากจะขอใช้ส่วน
สุดท้ายของบทความนี้ สรุปถึงประสิทธิภาพและตัวตนของ ไนกี้ Magista Opus เอาไว้ให้สั้นๆ ได้ใจความ
เอาใจคนที่ชอบเอาเปรียบคนเขียน ด้วยการดูแต่ตัวเลขคะแนน แล้วเลื่อนข้ามลงมาด้านล่างนี้เลย !!
ไนกี้ Magista Opus
ยอมรับตามตรงเลยครับ ว่าตอนแรกผมมองว่า ไนกี้ Magista Opus นั้นจะเป็นรองเท้าอารมณ์ "ลูกเมียน้อย"
เนื่องจากไนกี้เองก็ไม่ได้ทำการโปรโมทรองเท้ารุ่นนี้เลย รวมถึงความซ้ำซากจำเจ ที่ดูจะไม่ค่อยมีจุดเด่น
หรือไฮไลท์อะไรมากนัก แถมยังแอบคิดแทนว่า มันคงไม่แตกต่างอะไรจาก CTR 360 Maestri III สักเท่าไหร่
นักหรอก แต่พอได้ทดลองใช้งานจริงๆ แล้ว กลับรู้สึกได้ว่า Magista Opus เป็นรองเท้าที่มีประสิทธิภาพ
การใช้งานที่ดีมาก รุ่นหนึ่งในตลาดตอนนี้ แถมยังถูกพัฒนาคุณสมบัติบางจุดให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ในเรื่องของคุณสมบัติความสามารถ ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นรองเท้าฟุตบอลประเภท "คอนโทรล" นั้น
โดยภาพรวมถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน หน้าสัมผัสที่มีพื้นผิวแบบ 3 มิติ รอบตัว ช่วยทำให้การคอนโทรล
ลูกฟุตบอลทำได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะใช้ส่วนใดของรองเท้าในการสัมผัสบอล ทำให้ผู้เล่นไม่ต้อง
มาคอยเสียเวลาปรับหน้าเท้าให้เข้ากับการสัมผัสของลูกฟุตบอล ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญไม่น้อย
ของรองเท้าประเภทนี้ ทั้งนี้..ไนกี้ Magista Opus ยังแสดงประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ที่ยอดเยี่ยมขึ้น
เหมือนมาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้รองเท้าประเภทนี้ ให้มีประสิทธิภาพด้านการเคลื่อนที่ที่ดีขึ้น
ดีกว่าบรรดาคู่แข่งในตลาดอีกด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญที่ผมรู้สึกประทับใจ ชอบ และอยากจะแนะนำถึงคุณผู้อ่านให้ข่วยบอกๆ กันต่อ ก็คือ
ฟีลลิ่งการสวมใส่ที่กระชับเข้ารูปเท้าในทุกๆ จุด แรกๆ อาจจะอึดอัดเล็กน้อย แต่ใช้เวลาไม่นานนักหรอก
ตัวรองเท้าก็จะเข้าออกเข้ารูปกับเท้าของเราเป็นอย่างมาก ฟีลลิ่งแบบนี้ต้องยอมรับว่าแทบจะไม่เจอ
ในรองเท้าฟุตบอลรุ่นอื่นๆ เลย เพราะที่เจอส่วนใหญ่..หัวเหลือ แต่ถ้าข้างกระชับพอดี แต่ถ้าจะลดไซด์ลง
ให้หัวรองเท้าพอดี ด้านข้างก็จะบีบจนเกินไป พูดง่ายๆ คือ Magista Opus เป็นรองเท้าที่มอบสัดส่วน
ระหว่างหัวรองเท้าและด้านข้างเท้า รวมถึงบริเวณส้นเท้า ที่ลงตัวพอดีมากๆ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม..ในความคิดเห็นของผมนั้น ไนกี้ Magista Opus เองก็ยังมีบางจุดที่เป็นโจทย์ให้ทีมพัฒนา
รองเท้าฟุตบอลของไนกี้ ต้องไปทำการบ้านเพิ่มเติม หากต้องการจะสร้างให้รองเท้าตระกูลนี้เป็นเบอร์หนึ่ง
ในประเภทรองเท้าฟุตบอลคอนโทรล โดยผมได้สรุปสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ และสิ่งที่รู้สึกเฉยๆ เอาไว้ด้าน
ล่างนี้แล้ว
สิ่งที่ชื่นชอบ/ประทับใจ
- เป็นรองเท้าฟุตบอลที่มีความกระชับเข้ารูปในทุกๆ ส่วนที่ลงตัว พอดีเท้า สร้างความกระชับและความมั่นใจ
ได้เป็นอย่างดี
- ชุดพื้นช่วงล่างและปุ่ม ให้การตอบสนองต่อการสปรินซ์เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ปุ่มสามารถจิกพื้นสนาม
ไปพร้อมๆ กับการกลับตัวและเปลี่ยนทิศทางการวิ่งได้อย่างรอบทิศ ไร้การสะดุด สมกับเป็นรองเท้าสำหรับกองกลาง
ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ ตลอดเวลา
- ผิวสัมผัสแบบ 3 มิติ มีรอบตัว และมีความสม่ำเสมอเหมือนกันทั้งหมด ทำให้ไม่ว่าเราจะใช้ส่วนไหน ด้านใด
ก็สามารถสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอลได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกันทั้งหมด
- ผิวสัมผัสแบบ 3 มิติ สามารถช่วยทำให้การจับบอลแรก ในทิศทางที่พุ่งเข้ามาหาตัวได้ดี เกิดแรงเสียดทาน
ช่วยลดโอกาสการแฉลบในการจับบอลทิศทางของแรงเฉือนได้ อย่างยอดเยี่ยม
- เกราะป้องกันแรงกระแทกบริเวณส้นเท้าแบบภายนอก ช่วยให้การป้องกันและจับล็อคกับข้อเท้าได้ดี
สิ่งที่เฉยๆ ไม่โดดเด่น
- ชุดพื้นและระบบรองเท้าแรงกระแทก สามารถช่วยผ่อนแรงกระแทกจากพื้นสนาม ได้ดีตามมาตรฐานของ
ไนกี้
- ประสิทธิภาพการระบายความร้อน โดยภาพรวมถือว่าพอยอมรับได้ แต่อาจสวมใส่ไม่สบายมากนัก
- การเปลี่ยนทิศทางของลูกฟุตบอลที่แตะเลี้ยงอยู่ที่เท้า ทำได้ดีพอสมควร แต่ยังไม่ถึงกับรวดเร็วแม่นยำ
มากนัก เรียกได้ว่า..พอมีให้ใช้งาน ได้บ้าง ถ้าต้องการ
- การจับบอลแรกให้นุ่มนวล ติดเท้า ยังจำเป็นต้องพึ่งทักษะการผ่อนแรงของผู้เล่นบ้าง
สิ่งที่ไม่ชอบ/ไม่ประทับใจ
- น้ำหนักของการออกบอลที่ขาดหายไป เนื่องจากตัวรองเท้ามีน้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
- ฟีลลิ่งการสัมผัสบอล ทั้งการจับบอลแรกและการยิงประตู ยังรู้สึกแปลกๆ จะเรียกว่าบางติดเท้าก็ไม่ใช่
หรือจะเรียกว่าหน้านุ่มหนักแน่น ก็ไม่เชิง จึงให้ฟีลลิ่งการสัมผัสบอลที่ไม่เต็มสัมผัสมากนัก
- คุณสมบัติการเป็นรองเท้าประเภทคอนโทรล 9/10
แล้วถ้าเทียบกับรองเท้ารุ่นอื่นทีเกี่ยวข้องล่ะ !?
Predator® Instinct จากอาดิดาส ดูจะคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดแล้วในปัจจุบัน รองเท้ารุ่นนี้มีความโดดเด่น
และพรั่งพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของรองเท้าประเภทคอนโทรล โดยเฉพาะวัสดุแถบยางสัมผัสบอล
อันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งหมดสามารถใช้งานได้จริง ที่สำคัญคือมันสามารถดึงดูด สร้างแรงเสียดทาน
กับผิวของลูกฟุตบอลได้ดีกว่า ให้การควบคุมที่หนึบและติดเท้าเป็นอย่างมาก และก็มีพื้นที่สัมผัสบอล
รอบตัวรองเท้า เช่นกันในขณะที่น้ำหนักตัวรองเท้าของ Predator® Instinct ก็ยังส่งผลให้รองเท้าสามารถออกบอล ได้อย่าง
มีน้ำหนักรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งบอล หรือการยิงประตู โดยเฉพาะการยิงประตูที่สามารถเห็นลูกยิง
ฮุบและส่ายได้ง่ายดายกว่า เหมาะสำหรับผู้เล่นที่อยากได้ทั้งการควบคุมและน้ำหนักของบอลที่ออกจากเท้า
แต่ต้องแลกมาด้วยฟีลลิ่งการสัมผัสบอลที่หนาเท้ากว่า Magista Opus เล็กน้อย
ส่วนเรื่องของความสบายในการสวมใส่ อาดิดาส Predator® Instinct ดูจะตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้ดี
เพียงแต่ฟีลลิ่งความกระชับ การเข้ารูปเท้า ยังมีบางจุดที่เป็นรอง Magista Opus ซึ่งก็รวมถึงหน้าสัมผัส
ของแผ่นรองพื้นที่มีจังหวะลื่นไถลไปมาได้บ้าง
นอกจากนั้น ชุดพื้นของอาดิดาส Predator® Instinct จะเหมาะสำหรับการยืนพื้นสนามที่เต็มฝ่าเท้า
กว้าง ทำให้ลงน้ำหนักได้มั่นคงสม่ำเสมอ แถมยังมีปุ่มหลังที่ใหญ่กว่า ทำให้ผู้เล่นสามารถลงน้ำหนักตัว
ที่ส้นเท้าได้เต็มที่ ในทางตรงกันข้าม ชุดพื้นของไนกี้ Magista Opus จะสามารถตอบโจทย์ผู้เล่น
ที่ต้องการการเคลื่อนที่ที่รวดเร็ว สปรินซ์ออกตัวได้ฉับไวและดุดันกว่า ส่วนประสิทธิภาพการจิกเกาะ
พื้นสนามของปุ่มแบบ FG นั้น ทางอาดิดาสจะจิกพื้นได้แน่น มั่นคง วางเท้าและแทบจะไม่ไถลไปมา
จนเสียสมดุล ส่วนปุ่มกลมของทางไนกี้นั้นจะเอื้อประโยชน์ต่อการหมุนตัว และเปลี่ยนทิศทางของ
การเคลื่อนที่ โดยใช้ปุ่มเป็นจุดหมุนได้ดีกว่า
พูม่า evoPower 1 พอจะมีไม้เด็ดที่สามารถงัดออกมาต่อกรกับรองเท้ารุ่นใหม่จากไนกี้ได้ พอสมควร
โดยเฉพาะเรื่องของฟีลลิ่งความสบายในการสวมใส่ ที่พูม่าให้มาเยอะกว่าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
บริเวณหน้าเท้า ส้นเท้าและหุ้มส้น
อีกหนึ่งประเด็นที่แตกต่างกันพอสมควร ก็คือหนังของ evoPower 1 มีความนิ่มและบาง ให้การสัมผัส
ที่เต็มเท้ามากๆ เหมาะสำหรับผู้เล่นที่ต้องการฟีลลิ่งการสัมผัสบอลที่บางเป็นธรรมชาติ และแม้ตัวรองเท้า
จะบาง แต่ก็ให้อารมณ์การยิงประตูที่สนุกเท้ามากกว่า
ส่วนคุณสมบัติที่รองเท้าทั้งสองรุ่นมีใกล้เคียงกัน ก็คือน้ำหนักตัวรองเท้าเบา ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้
กำลังขาของตัวเองเป็นหลัก หากต้องการที่จะส่งบอลหรือยิงประตูด้วยความรุนแรง แต่ก็จะได้เรื่องการ
เคลื่อนที่ที่รวดเร็วไม่เปลืองแรง และยังรวมถึงเรื่องของแผ่นรองพื้น ที่สามารถช่วยรองรับและผ่อนแรง
กระแทกจากพื้นสนามได้ดีเหมือนกัน
ถึงแม้ว่ารองเท้าทั้ง 2 รุ่น จะเบาจนวิ่งได้ตัวปลิวเหมือนกัน แต่ชุดพื้นและปุ่มของ Magista Opus
มีประสิทธิภาพในการจิกและยึดเกาะกับพื้นสนามได้ดีกว่า ปุ่มกลม มีพิสัยในการหมุนได้รอบตัวและ
ราบลื่นกว่า ในขณะที่ชุดพื้นสามารถส่งแรงดีดจากการโค้งงอของฝ่าเท้าได้ดุดันกว่า โดยชุดพื้นของ
ทางฝั่ง evoPower 1 จะให้อารมณ์การยืนพื้นที่สบายเท้า เต็มฝ่าเท้า และนิ่มนวลมากกว่า
สำหรับคุณสมบัติสำคัญของรองเท้าประเภทคอนโทรล คือการควบคุมลูกฟุตบอล ซึ่งยังต้องยอมรับ
กันตามตรงว่า ไนกี้ Magista Opus เป็นรองเท้าที่ตรงสายและมีคุณสมบัติดังกล่าวที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็น
พื้นผิวสัมผัสบอลที่สามารถดึงดูดกับลูกฟุตบอลได้ดี ลดจังหวะการแฉลบ สร้างแรงเสียดทานได้ดี
ปั่นไซร้โค้งได้ดีกว่า และยังสามารถใช้ทุกพื้นที่บนตัวรองเท้าเข้าสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้ดีเหมือนกัน
ทั้งหมด ในขณะที่พูม่า evoPower 1 จะมีเฉพาะส่วนที่เป็น Accu-Foam ซึ่งมีเฉพาะตรงหัวรองเท้าและ
แนวสันเท้าเท่านั้น
ความคุ้มค่าราคา/ความน่าใช้
เรามาปิดกันที่การลงความเห็นเรื่องความคุ้มค่าราคาและความน่าใช้ ของไนกี้ Magista Opus ที่เพิ่งจะ
รีวิวประสิทธิภาพการใช้งานจบลงกันไป สำหรับรองเท้ารุ่นนี้ ไนกี้ตั้งป้ายราคาเอาไว้ที่ 6,900 บาท เป็น
ราคาที่แพงขึ้นกว่า CTR 360 Maestri III รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลรุ่นก่อนหน้า อยู่ 400 บาท
เรื่องการปรับราคาขึ้นกับเทคโนโลยีของตัวรองเท้าที่มากขึ้น ทั้งยังรวมถึงวัสดุชุดพื้นที่เปลี่ยนมาใช้
เป็นพลาสติก Pebax นั้น ผมมองว่าเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลและยอมรับได้ แม้ว่าจุดเด่นในเรื่องประสิทธิภาพ
ของรองเท้ารุ่นนี้ อาจจะยังไม่เฉพาะเจาะจงเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับรองเท้ารุ่นโครตท็อป อย่าง Magista Obra
ก็ตาม แต่ไนกี้ Magista Opus ก็ยังถือเป็นรองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลรุ่นหนึ่งที่มีความครบเครื่อง
ในราคาที่ถูกกว่าขาวบ้านในตลาดตอนนี้อยู่ดี
และแม้ว่าไนกี้จะไม่ได้เน้นทำโปรโมทด้วยรองเท้ารุ่นนี้ แต่ในสนามแข่งขันจริงๆ กลับมีนักฟุตบอลชื่อดัง
ยังรวมถึงพรีเซนเตอร์หลักบางคน เลือกที่จะใช้งาน Magista Opus ในการลงสนามเสียด้วย ผมจึงมองว่า
ในแง่ของภาพลักษณ์แล้ว รองเท้ารุ่นนี้มีติดตัวมาไม่น้อยหน้าคนอื่นเหมือนกัน
แต่เชื่อว่าคงมีอีกหลายคน ที่เอาไปเปรียบเทียบกับหน้าตาของรองเท้ารุ่นรองท็อป (Magista Orden)
ซึ่งหากมองไกลๆ แล้ว แยกแยะความแตกต่างออกจากกันยากพอสมควร ซึ่งตรงจุดนนี้อาจจะมีผลต่อ
ความน่าใช้ของ Magista Opus บ้าง ไม่มากก็น้อย
โดยภาพรวมแล้ว ไนกี้ Magista Opus ถือเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสอีกรุ่นหนึ่ง ที่มีความคุ้มค่า
และน่าใช้เป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้เล่นที่กำลังมองหารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสที่มีคุณสมบัติ
ประสิทธิภาพ สมเหตุสมผลกับราคาค่าตัว แถมยังดูมีแนวโน้มว่าจะมีอายุการใช้งาน่ทนทานใช้ได้เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องภาพลักษณ์เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาภายนอก ก็คงต้องแล้วแต่แต่ละคนจะมอง..
- ความคุ้มค่า/ความน่าใช้ 8/10
ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus จะสามารถตอบโจทย์ได้ตรงความต้องการ
และเหมาะสมกับสไตล์การเล่นของคุณผู้อ่านแต่ละคนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ทั้งหมดนั้นมีเพียง
คุณผู้อ่านเท่านัน้ที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้ ผมหวังเพียงแค่ว่าบทความรีวิว ที่มีทั้งการวิพากษ์วิจารณ์
ให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ และการแสดงความคิดเห็นต่างๆ จะเป็นประโยชน์ช่วยหาคำตอบดังกล่าว
ให้กับตัวท่านเองได้ไม่มากก็น้อย
และหากคุณผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้แล้วว่า รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus นี่แหละที่ใช่เลย
ตรงกับความต้องการของท่าน วันนี้..ท่านสามารถเป็นเจ้าของรองเท้าสายพันธุ์คอนโทรล ระดับท็อปคลาส
รุ่นนี้ได้แล้ว ได้ราคา 6,900 บาท มีวางจำหน่ายที่ร้านไนกี้ สาขาสยามพารากอน, เทอร์มินอล 21,
ร้านซูเปอร์สปอร์ต สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าและลาดพร้าว, ร้านนกแก้ว, ร้านอาริ ฟุตบอลคอนเซปต์ สโตร์
และ ร้านเอฟบีที โดยท่านยังสามารถตาม ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com\nikefootballTH - HG (HardGround)
ปุ่มจะค่อนข้างสั้น มั่นคงแข็งแรง เหมาะกับสนามสนามพื้นแข็งๆ ซึ่งประเทศไทยส่วนใหญ่
สนามจะเป็นแบบนี้ แต่หาซื้อยากเพราะมีราคาสูงกว่าปุ่มธรรมดา ปุ่มสตั๊ดแบบธรรมดาคล้ายปุ่ม FG แต่จะออกแบบให้ปุ่มสั้น ฐานปุ่มกว้าง แข็งแรงทนทานวัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นในสนามหญ้าเทียม ซึ่งมีพื้นผิวที่แข็งกว่าสนามทั่วไปหรือ สนามหญ้าจริงที่มีหน้าดินแข็งและขรุขระ หญ้าปกคลุมน้อย สามารถดูดซับแรงกระแทกและกระจายน้ำหนักได้ดี ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเล่นบนสนามที่แข็งกว่าปกติ… - SG (SoftGround)
เป็นปุ่มอลูมิเนียม หรือที่เราเรียกว่าปุ่มเหล็ก มักจะเป็นแบบหกปุ่ม หรือปุ่มผสมกับปุ่มแบบ FG
เหมาะกับสนามหญ้ายาว ที่มีความเปียกชื้น ส่วนใหญ่ใช้ในการแข่งขัน ปุ่มสตั๊ดเหล็กผสมอลูนิเนียม มีความสูงปุ่มมากที่สุด ประกอบด้วยปุ่มเหล็กหลัก 6ปุ่ม เป็นมาตรฐาน สามารถถอดปุ่มเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมวัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นในสนามหญ้าจริงที่มีหน้าดินนุ่มและมีความชื้นค่อนข้างสูง ปุ่มสตั๊ดยาวจะยึดเกาะหน้าดินได้ดี ไม่ควรใช้เล่นบนหน้าดินที่แข็งและสนามหญ้าเทียม… - AG (Artificial Grass)
เป็นปุ่มสั้นๆ หลายๆปุ่ม มีปุ่มมากกว่า FG ออกแบบมาสำหรับการใช้เล่นสนามหญ้าเทียม
รองรับและกระจายน้ำหนักได้ดี จะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากสนามหญ้าเทียม ปุ่มสตั๊ดออกแบบพิเศษ ปุ่มสั้น มีจำนวนปุ่มมากกว่าปกติ กระจายทั่วฝ่าเท้า มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายโดนัท (ไนกี้) สามเหลี่ยมสั้นป้านทรง (อาดิดาส)วัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นในสนามหญ้าเทียมซึ่งมีพื้นผิวที่แข็งกว่าสนามทั่วไปหรือ สนามหญ้าจริงที่มีหน้าดินแข็ง หญ้าสั้น หญ้าปกคลุมน้อย สามารถดูดซับแรงกระแทกและกระจายน้ำหนักได้ดี ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเล่นบนสนามที่แข็งกว่าปกติ
ได้เวลามาทำความรู้จักกับรองเท้าฟุตบอลรุ่น Mercurial Glide II AG กันแล้ว เพราะนี่คือ
รองเท้าฟุตบอลรุ่นที่ไนกี้ (ประเทศไทย) ต้องการนำมาเปิดตลาด "หญ้าเทียม" ในเมืองไทย
แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม ไปดูกันดีกว่าว่ารองเท้ารุ่นนี้มีดีแค่ไหน !!
อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ เพราะปกติก่อนที่ผมจะเขียนรีวิวทดสอบรองเท้า ผมจะต้องเขียน
บทความ Hand On! ซะก่อน แต่พอดีว่ารองเท้ารุ่น Mercurial Glide II AG นั้นมาอยู่ที่มือผม
ตั้งแต่เมื่อราวๆ 3 สัปดาห์ก่อน จำนวน 2 คู่ แล้วด้วยเหตุว่าไม่มีเวลาแม้กระทั่งถ่ายรูปที่เป็น
สภาพใหม่เกาะกล่อง เพราะรองเท้าทั้ง 2 คู่ที่ได้มานั้น ทางไนกี้อยากจะให้ผมนำไปให้เพื่อนๆ
สมาชิกร่วมทดสอบใช้งานแบบจริงจัง ผมเลยจัดการนำไปให้เพื่อนๆ สมาชิกที่เตะบอลกิจกรรม
วันเสาร์ได้ร่วมทดสอบทันที และด้วยเหตุว่าช่วงดังกล่าวก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานใหญ่อย่าง
SiamBoots Meeting V ก็เอาตัดสินใจโดยไม่ต้องลังเลเลยว่า "เอาวะ !!! เขียนรีวิวทดสอบ
อย่างเดียวเลยแล้วกัน" ผลจึงออกมาเป็นบทความรีวิวทดสอบรองเท้าเลยนั่นเอง
อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมมีเวลามากมายจริงๆ ที่ได้อยู่กินกับรองเท้ารุ่น Mercurial Glide II AG
และใช้งานลงเล่นในสนามหญ้าเทียมเพื่อทดสอบข้อดีข้อเสียทุกซอกทุกมุม รวมถึงยังได้เปิดให้
สมาชิกของสยามบูทได้ร่วมทดสอบไปหลายต่อหลายท่าน จึงมีเสียงหลายเสียงที่ส่งผ่านมาถึงหู
ของผม ทั้งข้อดีข้อเสียต่างๆ นานา ให้ผมได้คิดวิเคราะห์ตามมากมายหลายอย่าง จึงบอกได้
เลยว่าบทความรีวิวการทดสอบรองเท้าในครั้งนี้จะแม่นยำ จริงจังถึงพริกถึงขิงมากกว่าที่
เคยเป็นมากสักหน่อย
Details
Artificial Grass (AG) Stud
ก่อนอื่นมารู้จักกับรองเท้าฟุตบอลปุ่ม AG กันก่อนดีกว่า ตัวอักษรย่อ AG นั้นย่อมาจาก
คำว่า Artificial Grass ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "หญ้าเทียม" นั่นเอง ลักษณะของชุดพื้น
และปุ่มของรองเท้าฟุตบอลประเภทนี้จะมีจำนวนปุ่มจำนวนมาก เป็นปุ่มเตี้ยๆ กระจายอยู่
บนชุดพื้นอย่างทั่วถึง จะช่วยทำหน้าที่เพื่อรับแรงและกระจายแรงให้เหมาะสมกับการใช้
งานในสนามฟุตบอลหญ้าเทียม ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสนามที่มีความแข็งมากกว่าสนาม
หญ้าจริง และใบหญ้าเทียมจะสั้นกว่า จึงไม่จำเป็นต้องใช้การยึดเกาะพื้นที่ดีเหมือนกับ
ปุ่ม FG หรือ SG และปุ่มจำนวนมากซึ่งช่วยรับแรงและกระจายแรงก็จะช่วยรักษาสุขภาพ
เท้าของผู้ใช้งานได้ดีกว่าการใช้งานรองเท้าฟุตบอลปุ่ม FG กับสนามฟุตบอลหญ้าเทียม
อีกด้วย
มารู้จักกับรายละเอียดของปุ่ม AG ของไนกี้กันก่อน
แนวคิดในการออกแบบรองเท้าฟุตบอลปุ่ม AG เพื่อใช้งานกับสนามฟุตบอลหญ้าเทียม
ของไนกี้ ได้ถูกออกแบบให้มีความสามารถในการยึดเกาะกับพื้นสนามให้เหมาะสมที่สุด
(Optimal Traction) กล่าวคือปุ่ม AG ของไนกี้นั้นไม่ได้ถูกออกแบบให้มีความสามารถ
ในการยึดเกาะมากจนเกินไป เพราะลักษณะของสนามหญ้าเทียมทั่วๆ ไป ก็คือจะใบหญ้า
นั้นจะไม่ยาวจนสูงมากนัก และขนาดของสนามส่วนใหญ่จะเป็นขนาดเล็กจนถึงขนาด
กลาง ซึ่งการเล่นต้องอาศัยการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อใช้
รองเท้าฟุตบอลปุ่ม AG แบบนี้แล้วจะเกิดการลื่นไถล เนื่องจากการออกแบบของไนกี้
ได้สร้างปุ่ม AG ลักษณะนี้มาได้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว
1. Extra Cushioning - ปุ่มบริเวณส้นเท้าถูกออกแบบมาเมื่อช่วยรองรับแรงกระแทก
ช่วยให้ผู้ใส่สามารถทิ้งน้ำหนักลงได้อย่างสบายๆ ในขณะที่มีความสามารถในการยึด
เกาะกับพื้นสนามได้ดีพอสมควร
2. Extra Flex Groove - ปุ่มแนวสามเหลี่ยมบริเวณกลางฝ่าเท้า ทำหน้าที่ช่วยเพิ่ม
ความเร็วในการเปลี่ยนทิศทางในขณะเคลื่อนที่ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขัน
ที่รวดเร็วฉับไว
3. Extra Grip - ปุ่มเล็กๆ บริเวณหัวรองเท้า ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความสามารถในจังหวะ
สปรินซ์ตัวด้วยความเร็ว (Toe-off) คล้ายๆ กับเทคโนโลยีของ Mercurial VII , VII
นั่นเอง
4. Heat Dispersion - ปุ่มใหญ่ๆ บริเวณด้านข้างของรองเท้า จะช่วยทำหน้าที่ระบาย
ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการใช้งานในสนามหญ้าเทียม
โดยปกติแล้วลักษณะการวางปุ่ม AG ของแต่ละแบรนด์แต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไป
สำหรับปุ่ม AG ของไนกี้นั้นจะเป็นปุ่มกลมๆ เล็กๆ มากมายหลายปุ่มวางตัวกระจาย
กันอยู่บนชุดพื้นแบบชิ้นเดียว ซึ่งได้ถูกเรียกกันจนติดปากว่า "ปุ่มโดนัท" สิ่ง
ที่เห็นนั้นต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างจากลักษณะปุ่ม HG ของไนกี้เป็นอย่างมาก
สำหรับรองเท้าฟุตบอลรุ่นที่ผมได้นำมาทดสอบนี้คือรองเท้าฟุตบอลปุ่ม AG รุ่นเดียว
ของตระกูล Mercurial VII ที่ไนกี้ (ประเทศไทย) นำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
รองเท้ารุ่นนี้คือ Mercurial Glide II AG ซึ่งเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับทั่วไปในตระกูล
แห่งความเร็ว
คุณสมบัติและเทคโนโลยีของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ก็เหมือนกันกับ Mercurial Glide II
เป็นรองเท้ารุ่นเดียวที่ยังคงไว้ซึ่งอุปกรณ์ปิดเชือก หนังสังเคราะห์เทจินไมโครไฟเบอร์
(Tejin microfiber) มาผลิตเป็นหน้าผ้าและตัวรองเท้า ถึงแม้จะเป็นรุ่นทั่วไป แต่วัสดุที่มี
มาให้นั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย รูปร่างรูปทรงโดยรวมแทบจะไม่แตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก
สำหรับจุดเด่นคือลวดลายบริเวณส่วนหลังของรองเท้ายังคงโดดเด่นด้วยสีสะท้อนแสงซึ่งจะช่วยทำให้เพื่อนร่วมทีมสังเกตเห็นคุณก่อนสิ่งอื่นใดในสนาม
ดังนั้นในการทดสอบและวิเคราะห์วิจารณ์ในครั้งนี้ผมคงจะไม่ข้อลงลึกไปถึงเรื่องของ
คุณสมบัติและเทคโนโลยี เพราะคงต้องยอมรับกันตามตรงว่ารองเท้าระดับแทบจะไม่มี
เทคโนโลยีระดับอะไรมากมายที่เป็นจุดเด่นทางด้านความเร็ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ผมเองก็
ได้ทดสอบ Mercurial Vapor SuperFly III ซึ่งเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับสูงสุดซึ่งอัด
แน่นไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงไปแล้ว ดังนั้นใครที่อยากจะรับทราบข้อมูลตรงนั้นก็อยาก
ขอให้ตามไปอ่านนะครับ
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้จะขอมุ่งเน้นไปที่ชุดพื้นและปุ่มแบบ AG ที่มีผล
ต่อการใช้งานในสนามหญ้าเทียม เพื่อที่จะชี้ชัดกันไปเลยว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร
และคุ้มค่าแค่ไหนที่จะซื้อเจ้ารองเท้าปุ่ม "โดนัท" ของไนกี้มาใช้งาน
Feeling
และเมื่อได้เวลาทดลองใส่รองเท้าฟุตบอลรุ่น Mercurial Glide II AG คู่นี้ ซึ่งมีขนาด
ไซด์เท่ากับ 10US , 9UK , 44Fr และ 28.0cm ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ผมได้ทดสอบรองเท้า
โครตจรวดอย่าง Mercurial Vapor SuperFly III ไซด์เดียวกันนี้ ต้องบอกเลยว่าทั้ง
คู่นั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดรองเท้า เพราะสำหรับรองเท้าคู่นี้ต้องบอกว่า
มีพื้นด้านหน้าเหลือเล็กน้อย ในขณะที่ Mercurial Vapor SuperFly III กลับเหลือพื้นที่
ด้านหน้าน้อยกว่านี้อย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าจะให้สรุปคร่าวๆ ก็คงต้องบอกว่า Mercurial
Glide II AG นั้นโอเวอร์ไซด์ (Over size) ประมาณครึ่งเบอร์หรือ 0.5 cm
หลังจากที่สวมใส่เท้าเข้าไปในรองเท้าและผูกเชือกจนแน่นหนาเพื่อสร้างความกระชับ
ให้กับเท้าของผม พบว่ารองเท้ารุ่นนี้มีหน้าเท้าที่กว้าง ผมเองซึ่งเป็นคนเท้ากว้างจึง
ใส่ได้อย่างสบายๆ ดังนั้นถ้าจะให้แนะนำการเลือกขนาดไซด์ของรองเท้ารุ่นนี้ ไม่ว่าจะ
เป็นผู้ที่มีลักษณะเท้าปกติหรือเท้ากว้าง ก็อยากให้ลองเลือกไซด์ที่เล็กกว่าเท้าของท่าน
ประมาณ 0.5 cm ท่านก็น่าจะใช้รองเท้ารุ่นนี้ได้อย่างสบายๆ
หุ้มส้นภายในเป็นแบบหนังสังเคราะห์ มีความนุ่มพอสมควร ส่วนแผ่นรองพื้นเป็นแบบ
ยุดติดถาวรกับพื้นรองเท้าจึงไม่สามารถถอดแยกออกมาทำความสะอาดได้ ในขณะที่ป้าย
แท็กบอกขนาดไซด์ของรองเท้าจะถูกติดอยู่ที่ตำแหน่งข้างเท้าด้านใน โดยรวมแล้วก็ไม่
ถือว่าขี้ริ้วขี้เหร่เท่าไรนักสำหรับรองเท้าฟุตบอลระดับทั่วไปเช่นนี้ ดังนั้นความรู้สึกที่ได้รับ
เมื่อสวมใส่รองเท้าคู่นี้จึงเป็นความรู้สึกที่สบายๆ ชิวๆ
Features
รองเท้าฟุตบอลปุ่ม "โดนัท" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสนามฟุตบอลหญ้าเทียม
คู่นี้ เมื่อได้ลองสวมใส่แล้วยืมลงบนสนามหญ้าเทียม สิ่งที่แตกต่างกับรองเท้าฟุตบอลปุ่ม FG
ทั่วๆ ก็ไปคือความรู้สึกที่เหมือนว่ารองเท้าคู่นี้นั้นไม่มีปุ่มสตั๊ด อารมณ์จะคล้ายๆ กับการ
สวมใส่รองเท้าฟุตซอลลงเล่นในสนามพื้นเรียบ และด้วยพื้นสนามหญ้าเทียมที่มีความนุ่ม
ดังนั้นการสวมใส่รองเท้ารุ่น Mercurial Glide II AG จึงแทบจะไม่รู้สึกถึงแรงกระแทก
ที่ส่งจากปุ่มรองเท้ามายังเท้าของผมเลย ในด้านการยึดเกาะกับพื้นสนามของรองเท้า
ฟุตบอลมากปุ่มแบบนี้ก็ยังทำได้ดี ถึงแม้ว่าความสามารถในการยึดเกาะจะสู้รองเท้าปุ่ม FG
ไม่ได้ก็ตาม แต่สำหรับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแล้ว ซึ่งโดยปกติจะเป็นสนามที่มีลักษณะ
ใบหญ้าไม่สูงมากนัก ดังนั้นบอกไว้ตรงนี้เลยว่าความสามารถในการยึดเกาะพื้นสนาม
ของปุ่ม "โดนัท" จากไนกี้ แค่นี้ก็เพียงพอต่อการเล่นฟุตบอลในสนามฟุตบอล
หญ้าเทียมแล้ว
อีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจซึ่งถือเป็นผลพวงมาจากจำนวนปุ่มรองเท้าที่มากมาย และความ
รู้สึกที่ผมได้บอกไปแล้วว่า "เหมือนรองเท้าคู่นี้ไม่มีปุ่ม" คือความสามารถในการใช้ฝ่าเท้า
"คลึงลูกฟุตบอล" ที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพแม่นยำมาก บอกตรงๆ ว่าใครที่ชำนาญ
การเล่นฟุตซอลด้วยรองเท้าพื้นเรียบบนพื้นปูน ซึ่งทักษะในการคลึงบอลถือเป็นสิ่งที่จำเป็น
สำหรับการเล่นฟุตซอลแล้ว หากท่านต้องมาเล่นฟุตบอลในสนามหญ้าเทียม บอกได้เลยว่า
รองเท้าฟุตบอลปุ่ม "โดนัท" นั้นจะให้ความรู้สึกในแบบเดียวกัน และท่านจะต้องชื่นชอบ
รองเท้าปุ่ม AG แบบนี้แน่นอน
ทั้งนี้ความสามารถในการยึดเกาะพื้นสนามของปุ่ม "โดนัท" ในจังหวะที่ต้องยันตัวด้วย
เท้าอีกข้างหนึ่งเพื่อเปิดบอลหรือยิงประตู ค่อนข้างจะมีการยึดเกาะที่มั่นคงพอสมควร
และด้วยปุ่มที่ไม่ยาวมากนั้น การเปิด/เตะบอลโด่งในสนามหญ้าเทียมซึ่งหญ้าไม่
ยาวมากจึงสามารถทำได้ง่าย เพราะรองเท้าสามารถเตะเข้าไปที่ใต้ลูกฟุตบอลได้โดย
ปุ่มรองเท้าไม่ชนกับพื้นสนาม
Conclusion
การใช้งานกับพื้นหญ้าเทียม
ผมใช้เวลานานพอสมควรกับรองเท้าฟุตบอลรุ่น Mercurial Glide II AG ราคาค่าตัว
3,900 บาทคู่นี้ ซึ่งใช้งานกับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมเท่านั้น เพื่อทดสอบให้ตรงตาม
จุดประสงค์ของการออกแบบชุดพื้นและปุ่ม และนำมารีวิวต่างๆ นานาเผยแพร่ให้ท่าน
ทั้งหลายได้รับรู้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป
ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับรองเท้าฟุตบอลแบบปุ่ม AG โดยได้
ทดสอบการใช้งานจริงกับสนามฟุตบอลหญ้าเทียม และอย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่แรกแล้ว
ว่าปุ่ม AG ของรองเท้าฟุตบอลแต่ละยี่ห้อแต่ละแบรนด์นั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป
เป็นอย่างมาก และของไนกี้เองก็เช่นกัน กับลักษณะปุ่มที่เราๆ ท่านๆ ต่างเรียกกันจนชิน
แล้วว่าปุ่ม "โดนัท" ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานกับสนามหญ้าเทียมได้อย่างลงตัว
จุดเด่นหลักๆ นั้นผมขอลงความคะแนนให้กับความสบายเท้า ปุ่มโดนัทสามารถ
ยึดเกาะกับพื้นสนามได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ใช่รองเท้าระดับท็อปที่มีระบบ
การรองรับแรงกระแทกได้มากนัก แต่ปุ่ม AG ของไนกี้ก็สามารถทดแทนและ
ช่วยรองรับแรกกระแทกจากพื้นสนามหญ้าเทียมได้อย่างไม่มีที่ติ ระบบระบาย
ความร้อนของปุ่มก็ช่วยระบายความร้อนซึ่งเป็นปัญหาของพื้นสนามหญ้าเทียม
ได้เป็นอย่างดี สรุปแล้วรองเท้าฟุตบอลปุ่ม AG จากไนกี้นี่แหละคือสิงห์หญ้าเทียม
ตัวจริงเสียงจริง ขอบอกแบบตรงไปตรงมาเลยว่าใครที่เล่นฟุตบอลสนามหญ้าเทียม
เป็นชีวิตจิตใจล่ะก็ "ห้ามพลาดที่จะลองซื้อรองเท้าปุ่ม AG จากไนกี้มาลองใช้
งานแล้วคุณจะติดใจจนไม่อยากจะกลับไปใส่ปุ่ม FG อีกเลย !!!"
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
ผมได้ยินเสียงจากหลายต่อหลายคนว่าอยากให้ไนกี้ได้เอาเจ้าปุ่ม "โดนัท" แบบนี้ไปใส่ลง
ในรองเท้าฟุตบอลระดับสูงๆ ท็อปๆ บ้าง เพื่อที่จะตอบโจทย์ความต้องการในอีกระดับหนึ่ง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผมยังมองว่าคงยากที่ไนกี้จะทำเช่นนั้น เพราะการเปลี่ยนชุดพื้นและ
ปุ่ม AG นั้นก็เท่ากับว่าต้องลดทอนเทคโนโลยีบางอย่างซึ่งเป็นจุดขายของรองเท้าระดับสูง
บางรุ่นทิ้งไป เช่น ปุ่ม FG ของ Mercurial Vapor SuperFly ที่ได้โฆษณาถึงความสามารถ
ในการยึดเกาะ ปุ่มของ FG ของ T90 Laser ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความมั่นคง และไหนจะ
เรื่องน้ำหนักตัวที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับชุดพื้นของรุ่น Elite อีกด้วย
ทั้งนี้ผมยังพอจะมองออกว่าถ้าเอาไปใส่กับรองเท้ารุ่น CTR 360 Maestri หรือ Tiempo
Air Legend ก็น่าจะพอเป็นไปได้ เพราะรองเท้าสองรุ่นนี้ไม่ได้มีจุดขายที่ความเร็วและ
ความแข็งแกร่ง แต่จุดขายของทั้งสองรุ่นจะอยู่ที่ความสามารถของรายละเอียดบนตัว
รองเท้า และมีสไตล์การเล่นด้วยทักษะเป็นหลัก ดังนั้นหากไนกี้อยากลองทำตลาดใน
สนามฟุตบอลหญ้าเทียมด้วยการขายปุ่ม AG แล้ว ทั้งสองรุ่นนี้ก็น่าจะเป็นทางออกแรกๆ
ที่น่าสนใจ
เสียงจากผู้ร่วมทดสอบ
อย่างที่ผมได้บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าการทดสอบรองเท้าฟุตบอลรุ่น Mercurial Glide II AG
ในครั้งนี้ บริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งรองเท้ามาให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ร่วมทดสอบใช้
งานด้วย เพื่อนๆ สมาชิกที่ได้ร่วมทดสอบบอกเป็นเสียงเดียวกันครับว่า "รองเท้ารุ่นนี้ใช้กับพื้น
สนามหญ้าเทียมได้ดี การวิ่งทำได้โดยแทบจะไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกจากพื้น ความคิด
เห็นเดียวกับคือเหมือนว่ารองเท้านั้นไม่มีปุ่ม และสวมใส่สบายมากเพราะหน้าเท้ากว้าง"
ทั้งนี้ก็มีเสียงเรื่องร้องมาเป็นระนาวว่าอยากให้ไนกี้นำเอา CTR 360 II และ Tiempo IV แบบ AG
เข้ามาจำหน่ายเร็วๆ และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ก็มีเพื่อนสมาชิกที่ได้ร่วมทดสอบในครั้งนี้
ถึงกับไปถอยเจ้า Mercurial Glide II AG มาใช้งานเป็นของส่วนตัวเลยล่ะ !! เท่านี้ก็น่าจะ
พิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของปุ่ม "โดนัท" จากไนกี้ได้แล้วล่ะ...
SiamBoots Testing Point & Rating
- การรองรับแรงกระแทก 8/10
- ความสบายในการสวมใส่ 8/10
- การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม 7/10
- การสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอล 7/10
- การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า 6/10
- ความแม่นยำในการส่งบอล ยิงประตูและเปิดบอลโด่ง 6/10
- ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน 7/10
- การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ 6/10
- คุณสมบัติการเป็นรองเท้าประเภท "หญ้าเทียม" 8/10
- ความคุ้มค่า 8/10 - TF (Turf)
หรือที่เราเรียกว่ารองเท้าร้อยปุ่มโดยจะเหมาะกับสนามหญ้าเทียม หรือสนามหญ้าพื้นแข็งๆ
จะช่วยลดอาการบาดเจ็บ ถนอมข้อเท้าและหัวเข่าได้เป็นอย่างดี ปุ่มสตั๊ดเม็ดยาง สั้นพิเศษ กระจายตัวทั่วพื้นรองเท้า หรือรู้จักกันในชื่อ รองเท้าร้อยปุ่มวัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นในสนามหญ้าเทียมซึ่งมีพื้นผิวที่แข็ง หรือ สนามหญ้าจริง ที่มีหน้าดินแข็งและขรุขระ หญ้าสั้น ใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บบริเวณหลัง หัวเข่าและข้อเท้า พื้นยางจะช่วยลดแรงกระแทกและบรรเทาอาการบาดเจ็บ…
หลังจากที่ SiamBoots ปล่อยบทความ Hand On! ของไนกี้ MercurialX Proximo TF ก็มีเสียงตอบรับจากผู้อ่าน
สอบถามกลับมามากมาย ว่าใช้งานรองเท้ารุ่นนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง แสดงให้เห็นว่ามีผู้ให้ความสนใจรองเท้าที่เกิด
มาเพื่อพื้นสนามหญ้าเทียมซีรี่ย์นี้อย่างล้มหลาม วันนี้..กับบทความนี้ ผมมีคำตอบถึงประสิทธิภาพการใช้งานจริง
ของรองเท้ารุ่นนี้มาให้กับคุณผู้อ่านทุกท่านไปแล้ว ไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลยกับ "Boots Testing!" MercurialX
Proximo TF บทความนี้
เรียนตามตรงว่าในตอนแรก ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับการเปิดตัวรองเท้าสตรีทฟุตบอลซีรี่ย์ Football X
ของไนกี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากไนกี้เองก็ทำตลาดรองเท้าฟุตบอลประเภทนี้มาหลายปี จนถือเป็นเบอร์หนึ่งของ
วงการสตรีทฟุตบอลไปแล้ว รวมถึงที่ผ่านๆ มานั้นก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับหรือสอบถามถึงประสิทธิภาพการใช้งาน
ของรองเท้าฟุตบอลประเภทนี้จากคุณผู้อ่านมากนัก
แต่สำหรับไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นคนละเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่ผมได้ปล่อย Hand On!
ของรองเท้ารุ่นนี้ออกไปไม่นาน ก็ได้รับเสียงตอบรับ สอบถาม และเรียกร้องถึงรีวิวทดสอบการใช้งานจริง
แบบตรงไปตรงมาตามสไตล์ของ SiamBoots กลับมาทันที ซึ่งผมเองก็มีโอกาสได้ทดสอบใช้งานรองเท้า
รุ่นนี้เป็นที่เรียบร้อย จนพร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์และประสิทธิภาพที่ได้สัมผัสจากการใช้งานจริงในสนาม
ออกมาเป็นตัวอักษร เขียนตามสไตล์ของผมแบบตรงๆ ตรงไหนดีก็ว่าดี ตรงไหนด้อยก็ว่าด้อย เพื่อให้ข้อมูล
เป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านมากที่สุด
ให้คุณผู้อ่านเอาไปใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหารองเท้าที่จะตอบโจทย์ความต้องการของท่าน
ได้ตรงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา..เราไปเข้าสู่เสื้อเนื้อหาของบทความรีวิวทดสอบการใช้งาน ไนกี้
MercurialX Proximo TF กันได้เลย...
Details
หากย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 2-3 ปีที่ผ่านมา ไนกี้เริ่มบุกตลาดรองเท้าสตรีทฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬาฟุตบอลที่ได้รับ
ความนิยมมากที่สุดในทั่วทุกมุมโลก เนื่องจากเป็นฟุตบอลที่ใครก็สามารถเล่นได้ เล่นที่ไหนก็ได้ และเล่นเวลา
ไหนก็ได้ สตรีทฟุตบอลมีจุดเด่นอีกอย่างนึงตรงที่มีรูปแบบการเล่นที่รวดเร็ว สนุก ตื่นเต้น และผู้เล่นสามารถใช้
ทักษะความสนามเฉพาะตัวได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนักฟุตบอลระดับโลกหลายๆ คนในปัจจุบัน
จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ไนกี้ได้ตอบสนองความต้องการของผู้เล่นสตรีทฟุตบอล ด้วยการออกคอลเลคชั่นรองเท้า
สตรีทฟุตบอล FC 247 ซึ่งแบ่งออกเป็นรองเท้าที่ใช้งานกับพื้นเรียบ พื้นปูน และพื้นหญ้าเทียม จนได้รับความ
นิยมติดตลาดมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อไนกี้ได้นำเสนอนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีของอุปกรณ์กีฬายุคใหม่ ที่เริ่มเปิดตัวกับรองเท้า
ฟุตบอล (สตั๊ด) ระดับสูงสุดของตัวเองในช่วงปี 2014 จนประสบความสำเร็จในที่สุดกับเทคโนโลยี ฟลายนิต
ไดนามิก ฟิต คอลาร์ หรือ หุ้มข้อ กับรองเท้าฟุตบอลรุ่น Mercurial SuperFly IV และ Magista Obra ไนกี้
จึงนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาสู่สนามสตรีทฟุตบอลในอีก 1 ปีให้หลัง ด้วยการเปิดตัวรองเท้าสตรีทฟุตบอล
ซีรี่ย์ Football X โดยคำว่า “เอ็กซ์” (X) นั้นเป็นคำพร้องรูปมาจากเลขโรมัน X ซึ่งหมายถึงตัวเลข 10
นั่นคือจำนวนผู้เล่นรวมทั้งหมดของการเล่นสตรีทฟุตบอล ที่จะมีผู้เล่นทีมละ 5 คน ไนกี้จึงเอาสัญลักษณ์
ตัวอักษรดังกล่าวมาตั้งชื่อให้กับรองเท้าซีรี่ย์นี้นั่นเอง
หากถามว่ารองเท้าซีรี่ย์ Football X นับเป็นเจเนอเรชั่นต่อเนื่องของรองเท้าซีรี่ย์ FC 247 หรือไม่ คงต้อง
ตอบว่า "ไม่ใช่" เนื่องจาก Football X นั้นมีจุดเด่นตรงที่เป็นการเอารองเท้าสตั๊ดระดับโครตท็อป ที่ยกมา
ทั้งชื่อรุ่น ทั้งเทคโนโลยี ทั้งหน้าตา มาเปลี่ยนชุดพื้นสำหรับสตรีทฟุตบอล ซึ่งมีให้เลือกอยู่ 2 แบบ ได้แก่
พื้นเรียบ (IC) และพื้นหญ้าเทียม (TF) และที่สำคัญคือไม่ได้แบ่งรุ่นย่อยออกไปอีก หรือพูดง่ายๆ คือจะมีแค่
รองเท้าระดับท็อปเพียงระดับเดียวเท่านั้น แต่จะแบ่งออกเป็นรุ่นตามซีรี่ย์ของรองเท้าสตั๊ด โดยในปัจจุบัน
เปิดตัวออกมาแล้ว 3 ซีรี่ย์ ได้แก่ MercurialX, MagistaX และ HypervenomX เน้นการโปรโมทจุดเด่น
ตามภาพลักษณ์ของรองเท้าสตั๊ดในแต่ละซีรี่ย์ไปเลย ถือได้ว่าไนกี้เปิดกว้างให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้
ได้ตามสไตล์การเล่นของแต่ละคนเลยทีเดียว
โดยรองเท้าทั้งหมดมีสีเปิดตัวเป็นสีดำล้วนเป็นสีพื้น สลับด้วยตราไนกี้สีขาว แต่สอดแทรกความโดดเด่น
ด้วยลายกราฟฟิกสะท้อนแสงเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้าแต่ละรุ่น เป็นการนำเสนอว่าแม้ต้องเล่นตอนกลางคืน
ตัวรองเท้าก็พร้อมที่จะแสดงความโดดเด่นและมีสีสันต์ออกมาได้ตลอดเวลา ส่วนสีต่อๆ มาหลังจากสีเปิดตัว
นั้นจะเป็นสีตามคอลเลคชั่นของรองเท้าสตั๊ดทั้งหมด
ข้อมูลของรองเท้าฟุตบอลรุ่น MercurialX Proximo TF
ในส่วนนี้ผมจะขอแนะนำตัว MercurialX Proximo TF แบบเปิดฝากล่อง แนะนำทุกรายละเอียดของตัวรองเท้า
จากภาพนอก ว่าตัวรองเท้ามีจุดเด่นตรงไหน มีเทคโนโลยีอะไร และมีส่วนประกอบต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง โดย
เนื้อหาในหัวข้อนี้ผมจะยกเอาเนื้อหาจากบทความ "Hand On!" มาวางซ้ำอีกครั้งนึง ซึ่งผมคิดว่าคุณผู้อ่านหลายท่าน
คงจะได้อ่านข้อมูลกันไปแล้ว ดังนั้นท่านสามารถข้างไปยังหัวข้อ "Feeling & Sizing" เพื่อเลือกไซด์รองเท้า
ที่เหมาะสม และเตรียมลงสนามทดสอบได้เลยครับ
เมื่อเปิดฝากล่องสีส้มของไนกี้ เราจะพบกับ MercurialX Proximo TF ถูกวางตัวตะแคงสลับหัวท้ายมา
ตามปกติ เมื่อเอาตัวรองเท้าออกมา จะพบกับถุงใส่รองเท้าแบบเป้สะพายหลัง ด้านในมีช่องซิปขนาดเล็ก
สำหรับใส่ของเล็กๆ น้อยๆ แบบที่สาวกไนกี้คุ้นเคยกันดี และตราไนกี้ด้านหน้าก็ได้รับการดีไซน์ให้เป็นธีม
เฉพาะตัวของรองเท้าสตรีทฟุตบอลซีรี่ย์นี้โดยเฉพาะ
เมื่อสำรวจตรวจตราด้านในตัวรองเท้า MercurialX Proximo TF ก็จะพบดันทรงกระดาษข้างละสองชิ้น
คือมีดันทรงบริเวณหุ้มข้อ และดันทรงตรงบริเวณตัวรองเท้า แบบเดียวกันกับ Mercurial SuperFly IV
:ซึ่งกว่าจะล้วงออกมาได้ก็ต้องคลายและขยายแนวร้อยเชือกออกเสียก่อน
สำหรับรองเท้าสตรีทฟุตบอล ไนกี้ MercurialX Proximo TF คู่นี้ เป็นขนาดไซด์ 10.0 US, 9 UK, 44 Fr
และ 28.0 cm นะครับ ใหญ่กว่ารองเท้ารุ่นอื่นๆ ที่ปกติผมจะเลือกเอามารีวิวอยู่ครึ่งไซด์ เนื่องจากทราบข้อมูล
มาว่ารองเท้ารุ่นนี้จะอันเดอร์ไซด์ประมาณครึ่งเบอร์ เมื่อเอาขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักพบว่ามีน้ำหนักตัวอยู่ที่
270 กรัม/ข้าง เลยทีเดียว
น้ำหนักตัวที่สูงพอสมควร นั้นเป็นได้รับผลกระทบมาจากชุดพื้นแบบ TF ซึ่งเป็นชุดยางที่มีความหนา
พอสมควร แต่ในเรื่องวัสดุของตัวรองเท้านั้น เป็นวัสดุระดับเดียวกันกับรองเท้าสตั๊ดระดับโครตท็อป
ซึ่งรวมถึงรูปทรงตัวรองเท้าของ MercurialX Proximo TF ที่มีลักษณะเรียวยาว ตามแบบฉบับของ
Mercurial SuperFly IV จนแทบไม่มีผิดเพี้ยน
ผมจะขอพาคุณผู้อ่านมาสำรวจที่ตัวรองเท้าและหน้าผ้าของ MercurialX Proximo TF กันก่อนดีกว่า
รองเท้ารุ่นนี้ใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ (Synthetic) เป็นวัสดุชั้นล่าง ในขณะที่ชั้นบนจะเป็นวัสดุไนกี้สกิน
(NikeSkin) ออกแบบให้หน้าผ้าสัมผัสบอลบริเวณข้างเท้าด้านใน มีลักษณะนูนขึ้นว่า ให้สัมผัสคล้ายๆ
เนื้อทราบ เพื่อให้สร้างแรงเสียดทาน ให้ผู้เล่นสามารถควบคุมลูกฟุตบอลได้ดี
และเมื่อล้วงมือเข้าไปสัมผัสด้านในตัวรองเท้า (ซึ่งไม่สามารถสอดกล้องเข้าไปถ่ายภาพมาให้ชมได้)
จะพบว่าไนกี้ได้บุวัสดุนุ่มๆ คล้ายฟูกเอาไว้ เพื่อให้ความนุ่มระหว่างการสัมผัสกับหน้าเท้าของผู้สวมใส่
ซึ่งหน้าจะมีผลต่อการสัมผัสบอลที่นุ่มเท้ามากขึ้นกว่า Elastico SuperFly อีกด้วย
อีกหนึ่งเทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นไฮไลท์ที่ทำให้ MercurialX Proximo TF ถูกจัดให้มีสเปคเหมือนกันกับ
Mercurial SuperFly IV ก็คือด้านข้างตัวรองเท้า ทั้งด้านในและด้านนอกจะมีโครงสร้าง บริโอ เคเบิ้ล
(Brio Cables) ซึ่งเป็นการฝังเส้นใยเหล็กกล้าเอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างตัวรองเท้า เพื่อช่วยสร้าง
ความกระชับให้กับเท้าของผู้สวมใส่ นั่นเอง
ตรงจุดนี้พอจะสังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่าง MercurialX Proximo TF กับ Elastico SuperFly ได้จาก
วัสดุด้านข้างตัวรองเท้านี่แหละ จะเห็นได้ว่า MercurialX Proximo TF จะมีหน้าสัมผัสด้านข้างตัวรองเท้าเป็น
วัสดุไนกี้สกินทั้งหมด ต่อเนื่องมาจากด้านหน้า ในขณะที่วัสดุด้านข้างตัวรองเท้าของ Elastico SuperFly นั้น
จะเป็นวัสดุด้ายถัก (Flyknit) แตกต่างจากวัสดุด้านหน้าอย่างชัดเจน
และหากสังเกตกันให้ดี จะพบว่าไนกี้ได้ออกแบบลวดลายเฉพาะตัวของรองเท้าสตีทฟุตบอลซีรี่ย์นี้โดยเฉพาะ
ซึ่งจะเห็นได้ชัดบนตัวรองเท้า MercurialX Proximo TF ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถดูเปรียบเทียบได้จากภาพด้านบน
เลยครับ เป็นลวดลายที่สะท้อนแสงอันเนื่องมาจากการเปิดแฟลชตอนถ่ายภาพ ถือเป็นรายละเอียดที่ไม่เล็กไม่น้อย
สักเท่าไหร่ เนื่องจากการเล้นสตรีทฟุตบอลนั้นมีทั้งการเล่นในเวลากลางวันและเวลากลางคืน ดังนั้นลวดลายที่จะ
สะท้อนแสงเช่นนี้ จะช่วยทำให้เพื่อนร่วมทีมมองเห็นคุณได้แม้ในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที ซึ่งก็อาจจะเป็นจังหวะ
ที่จะตัดสินผลการแข่งขันก็เป็นได้
ช่วงกลางหลังเท้าของ รองเท้าสตรีทฟุตบอล ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นไม่มีลุ้นรองเท้า และจะเป็น
หน้าผ้าด้ายถัก (Flyknit) สามารถยืดขยายออกได้ตามแนวกว้าง เพื่อให้รองรับและสร้างความกระชับได้
กับหลังเท้าของผู้สวมใส่ได้อย่างหลากหลาย รายละเอียดตรงจุดนี้ถือเป็นสเป็คเดียวกันกับหลังเท้าของไนกี้
Mercurial SuperFly IV
ส่วนเชือกรองเท้าของรองเท้ารุ่นนี้ ถูกออกแบบให้มีลวดลายตามธีมที่ไนกี้ได้สร้างภาพลักษณ์เอาไว้ให้กับ
รองเท้าสตรีทฟุตบอลซีรี่ย์นี้ โดดเด่นตรงที่ลวดลายบนเชือกรองเท้าสามารถสะท้อนแสงได้ โดยเชือกรองเท้า
เป็นเชือกแบบเส้นแบน หน้าแคบและเส้นเล็ก เนื้อผ้าของเส้นเชือกไม่นิ่มและไม่แข็งจนเกินไป สามารถดึง
กระชับแนวร้อยเชือกและผูกปมเชือกได้แน่นหนาพอสมควร ถือเป็นเชือกรองเท้าแบบเดียวกันกับเชือกของ
Mercurial Vapor X ไม่ใช่เชือกรองเท้าแบบเส้นแบนหน้ากว้างๆ ดูลุ่มล่ามแบบเชือกของ Elastico SuperFly
"Dynamic Fit Collar" หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า "หุ้มข้อ" นั้นถือเป็นไฮไลท์สำหคัญของรองเท้า
MercurialX Proximo TF อย่างแท้จริง สิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความกระชับบริเวณข้อเท้า ทำให้
ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว กระฉับกระเฉงมากขึ้น และจากการรีวิวที่ผ่านมา
ผมสามารถยืนยันได้ว่าหุ้มข้อมีส่วนทำให้รู้สึกได้ว่ารองเท้านั้นหายไป !! เสมือนมันถูกควบรวมเป็นอวัยวะ
ส่วนหนึ่งของร่างกาย เรื่องจากเราจะไม่รู้สึกถึงรอยต่อระหว่างข้อเท้าของเรา และหุ้มส้นของตัวรองเท้า
นั่นเอง
หุ้มข้อชุดนี้มีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี แม้ตอนสวมใส่จะต้องออกแรงกันสักหน่อย แต่มันก็สามารถ
เข้ารูปกระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าใครจะข้อเท้าเล็กหรือข้อเท้าใหญ่ และจาก
การสัมภาษณ์ผู้ออกแบบจากไนกี้ เขาได้ให้ข้อมูลและยืนยันว่าหุ้มข้อจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ได้
จะมาย้วยหรือเสียสภาพกันง่าย
บริเวณส้นเท้าของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นจะมีการฝังชิ้นพลาสติกเอาไว้เป็นโครงสร้างด้านใน
เพื่อทำหน้าที่ล็อคกระชับกับส้นเท้า และช่วยป้องกันแรงปะทะจากคู่แข่ง จัดเป็นเกราะหุ้มส้นและป้องกันเอ็น
ร้อยหวายประเภทภายใน (Internal Heel Counter) มีความสูงขึ้นมาประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมด
ทั้งนี้ยังพบว่าแนวส้นเท้าตามแนวสูงจะไม่มีแถบกราฟฟิกสะท้อนแสงเหมือนกับส้นเท้าของ Elastico SuperFly
นะครับ สำหรับรองเท้าสีนี้ ที่เห็น จะเป็นเพียงแถบยางสีดำ ที่คอยยึดและทำให้หุ้มข้อมีความยืดหยุ่นและกระชับ
เพียงเท่านั้น
แผ่นรองพื้นด้านในของ MercurialX Proximo TF แม้จะถอดออกมายากเย็น แต่ก็สามารถถอดออกมาได้
โดยแผ่นรองพื้นชุดนี้มีหน้าตาเหมือนกันกับแผ่นรองพื้นของ Mercurial SuperFly IV ซึ่งใช้ระบบรองรับ
แรงกระแทกไฟลอน (Phylon) ออกแบบให้มีลักษณะบางเพรียว เพื่อเน้นฟีลลิ่งการเคลื่อนไหวบนพื้นสนาม
ที่รวดเร็ว รู้สึกว่าฝ่าเท้าติดกับพื้นสนามมากที่สุด ได้ลองออกแรงกดลงบนแผ่นรองพื้นแล้ว พบว่าเนื้อวัสดุ
ค่อนข้างดูดซับแรงกดได้ดี แต่ไม่ยืดหยุ่นหรือเด้งรับแรงกด ได้ดีเหมือนกับแผ่นรองพื้นของ Mercurial
SuperFly IV
หน้าสัมผัสด้านบนเป็นวัสดุหน้าผ้าไนล่อน ผิวเรียบและแบนราบ ที่สำคัญคือไม่มีการเจาะรูขนาดเล็ก
บนแผ่นรองพื้นเหมือนกันที่คุ้นตากันดีในแผ่นรองพื้นของซีรี่ย์รองเท้าสตั๊ดซีรี่ย์นี้
มาปิดท้ายกันที่ชุดพื้นช่วงล่างของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF กันดีกว่า โดยรองเท้ารุ่นนี้มีชุดพื้น
ที่ทำจากวัสดุยาง (Rubber) แบบชิ้นเดียวกันทั้งแผง ดีไซน์ให้ชุดพื้นช่วงกลายมีลักษณะเว้าแคบเข้าไป
ตามลักษณะช่วงเว้าของตัวรองเท้า เพื่อให้เกิดความกระชับ
จากข้อมูลยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ไนกี้ได้เสริมวัสดุที่เรียกว่า ไนกี้ ไกรนด์ (Nike Grind) ลงไป เพื่อเสริม
ความคงทนในส่วนที่เกิดการเสียดสีและมีการฉุดลากสูง เนื่องจากฟุตบอลสไตล์นี้ผู้เล่นจะต้องมีการเคลื่อนที่
แทบจะตลอดเวลา และยังต้องมีการกลับตัว หรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่รวดเร็วเสมอๆ ดังนั้นจึงมั่นใจ
ได้ว่าชุดพื้นของ MercurialX Proximo TF จะมีความทนทาน
ชุดพื้นประเภทที่เรียกว่า TF หรือ Tutf นั้นเป็นชุดพื้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อลงเล่นกับพื้นสนามหญ้าเทียม
โดยเฉพาะ ขอแตกต่างจากชุดพื้นจำนวน IC หรือ Indoor คือชุดพื้นประเภท TF จะมีลักษณะเป็นปุ่ม (เป็น
วัสดุยางทั้งหมด) ขนาดเล็กจำนวนมาก หรือที่เราหลายคนนิยมเรียกกันว่า "รองเท้าร้อยปุ่ม" เนื่องจาก
ต้องการให้พื้นรองเท้าสามารถยึดเกาะกับพื้นสนามหญ้าเทียมได้โดยไม่ลื่น
และจาพภาพด้านบนจะเห็นได้ว่าชุดพื้นของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นจะมีหน้าสัมผัสเป็นปุ่ม
ขนาดเล็ก เต็มหน้าสัมผัสอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นชุดพื้นด้านหน้าหรือด้านหลังของตัวรองเท้า จะเว้นว่าง
ไว้ก็เพียงแค่บริเวณช่วงกลางที่เห็นเป็นตราไนกี้ หรือจากบริเวณนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสัมผัสพื้นสนาม
โดยตรง ในจังหวะของการเคลื่อนไหว
โดยวัสดุยางที่เอามาทำเป็นชุดพื้นของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF คู่นี้ เป็นประเภท Nonmarking Outsole
ซึ่งมีความหมายว่าเป็นชุดพื้นที่ไม่ก่อให้เกิดรอยขีดข่วนต่อพื้นสนาม ดังนั้นรองเท้ารุ่นนี้จึงสามารถใช้งานกับพื้น
ประเภท ไม้ปาร์เก้ หรือพื้นคอร์ท ก็ได้เช่นกัน
นอกจากนั้นยังพบว่า ไนกี้ได้เสริมพื้นด้วยวัสดุยางอีกหนึ่งชั้น ตั้งแต่ช่วงกลางมาจนถึงช่วงส้นรองเท้า ลองสัมผัส
และออกแรงกระทำเปรียบเทียบกับชุดพื้นรองเท้าด้านนอกที่เป็นยางสีขาว พบว่าชั้นยางที่เสริมมาด้านในที่เป็น
ยางสีดำนั้น เนื้อยางมีความยืดหยุ่นและเด้งรับต่อแรงกดได้ดีกว่าประมาณ 50% เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการ
รองรับและผ่อนแรงกระแทกในการลงน้ำหนักบริเวณส้นรองเท้า รายละเอียดตรงจุดนี้พบว่ามีอยู่ทั้งในรองเท้ารุ่น
MercurialX Proximo TF และ Elastico SuperFly
และนี่คือรายละเอียดภายนอกทั้งหมดของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF พอได้ทำความรู้จักกับส่วนต่างๆ
ของรองเท้ารุ่นนี้กันไปแล้ว ก็ได้เวลาที่ผมจะพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ไปลงสนามทดสอบการใช้งานรองเท้าที่เกิด
มาเพื่อการใช้งานกับสนามหญ้าเทียม รุ่นนี้ กันแล้ว
Feeling & Sizing
เอาล่ะครับ...เตรียมพร้อมลงสนามทดสอบการใช้งาน ไนกี้ MercurialX Proximo TF กันแล้วใช่ไหมเอ่ย
ซึ่งผมจะขออนุญาตแนะนำการเลือกไซด์รองเท้าให้เหมาะสมก่อนดีกว่า โดยปกติแล้วผมจะเลือกสวมใส่รองเท้า
สตั๊ดของไนกี้ ไซด์ 9.5 US , 8.5 UK , 43 FR หรือ 27.5 cm มาโดยตลอด แต่คราวนี้ MercurialX Proximo TF
ที่กำลังสวมใส่เข้าไปที่เท้าของผม เป็นไซด์ "10.0 US, 9 UK, 44 Fr และ 28.0 cm" นะครับ
แม้ว่าจะเพิ่มไซด์รองเท้าคู่นี้จากไซด์มาตรฐานของตัวเองขึ้นอีกครึ่งไซด์ แต่ตอนสวมใส่ก็ยังทุลักทุเลไม่น้อย
เพราะต้องคลายแนวร้อยเชือกรองเท้าให้ขยายออกมากๆ และต้องดึงให้หุ้มข้อถ่างออก ก่อนที่จะสวมเท้าผ่านไป
ได้อย่างลำบากพอควร แต่เมื่อสวมใส่เท้าเข้าที่ได้แล้ว..ตัวรองเท้าจะเข้ารูปกับเท้าพอดี จากนั้นก็ทำการดึงกระชับ
แนวร้อยเชือกตามปกติ ตามด้วยการผูกปมเชือกรองเท้าแบบหูกระต่ายตามปกติ
เมื่อลองวัดพื้นที่หัวรองเท้า พบว่าหัวรองเท้าจะเหลือประมาณ 0.3 เซนติเมตร ให้พอวางนิ้วโป้งตามขวาง
ลงไปได้ครึ่งนิ้ว ดั่งที่เห็นตามภาพด้านบน ซึ่งเหลือเท่าๆ กับ Mercurial SuperFly IV ที่ผมรีวิวไปก่อนหน้านี้
แต่ตอนนั้นเป็นไซด์ 27.5 cm ดังนั้นถ้าจะวิเคราะห์กันถึงไซด์ตามยาว คงต้องบอกว่า MercurialX Proximo TF
นั้นอันเดอร์ไซด์ประมาณครึ่งไซด์
และแม้ว่าหัวรองเท้าจะเหลือเล็กน้อย แต่ด้านข้างรองเท้าทั้งสองฝั่ง จะค่อนข้างบีบกระชับกำลังพอดี ไม่มาก
ไม่น้อยเกินไป โดยเฉพาะบริเวณระดับโคนนิ้วหัวแม่เท้าและโคนนิ้วก้อยดั่งภาพด้านบน ซึ่งถือเป็นการดีมากๆ
สำหรับผู้สวมใส่ที่มีลักษณะหน้าเท้ากว้างตามมาตรฐานคนเอเชียแบบเท้าของผม ที่ไนกี้ MercurialX Proximo TF
สามารถรองรับคนหน้าเท้ากว้างได้แบบนี้
นอกจากช่วงหน้าเท้าแล้ว ยังพบว่าบริเวณหุ้มข้อและส้นเท้า สามารถให้ความกระชับได้ดีเช่นกัน ไม่ได้ใหญ่
จนหลวมเกินไป ฟีลลิ่งความแน่นหนาของช่วงหุ้มข้อก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนที่ผมสวมใส่ Mercurial SuperFly IV
ไซด์ 27.5 cm เลยสักนิด ในขณะที่หุ้มข้อช่วงบน (เหลือตาตุ่ม) ก็รับกระชับเข้ากับเท้าได้อย่างแน่นหนา
ผมขออนุญาตสรุปว่า ไนกี้ MercurialX Proximo TF ต้องเลือกซื้อแบบเพิ่มครึ่งไซด์ ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับ
ไนกี้ Mercurial SuperFly IV จะยิ่งเปรียบเทียบไซด์ได้ง่าย กล่าวคือ ใครเคยใส่ Mercurial SuperFly IV
ไซด์ไหน ให้ซื้อ MercurialX Proximo TF ใหญ่กว่าครึ่งไซด์ ได้เลยครับ รับรองว่าจะไม่หลวมหรือไม่คับ
จนเกินไป แม้ว่าหัวรองเท้าจะเหลือเล็กน้อย แต่ด้านข้างจะบีบกระชับกำลังดี ไม่เกิดปัญหาเท้าลื่นไป-มา
หรือช่วงหุ้มข้อมหลวมเกินไปจนไร้ความกระชับอย่างแน่นอน ถ้าจะเลือกซื้อแบบตรงไซด์คงต้องไปลองให้ดี
โดยเฉพาะหัวรองเท้าอาจจะชนกับนิ้วเท้าของเรามากเกินไป
Testing
เมื่อเลือกไซด์รองเท้าได้อย่างเหมาะสมแล้ว ก็ได้เวลาลงสนามทดสอบรองเท้าสตรีทฟุตบอลสำหรับพื้นหญ้าเทียม
MercurialX Proximo TF จากไนกี้คู่นี้กันเสียที และนี่ถือเป็นรีวิวที่สองที่ผมได้เปลี่ยนสนามสำหรับใช้รีวิวรองเท้า
แต่ไม่ต้องกังวลว่าสภาพสนาม ความนุ่ม หรือความยาวของหญ้า จะมีผลต่อการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้งาน
กับรองเท้าฟุตบอลรุ่นอื่นๆ ให้คลาดเคลื่อนออกไป เนื่องจากสนามที่ผมใช้ในการรีวิวครั้งนี้ มีความใกล้เคียงกับ
Winning 7 ซึ่งเป็นสนามประจำของการรีวิวทดสอบรองเท้าฟุตบอลของ SiamBoots ก่อนหน้านี้ เป็นอย่างมาก
ทีนี้ก็มีคำถามตามมาว่า ไนกี้ MercurialX Proximo TF ควรจะถูกจับคู่ชกเปรียบเทียบกับรองเท้าฟุตบอลรุ่นไหน
ในเมื่อที่ผ่านๆ มา SiamBoots ไม่เคยได้รีวิวรองเท้าฟุตบอลประเภท TF แบบนี้ และคู่แข่งโดยตรงในตลาดก็ไม่มี
แต่เนื่องจากรองเท้ารุ่นนี้ถอดแบบมาจาก Mercurial SuperFly IV จับเอามาเปลี่ยนชุดพื้นเท่านั้น ดังนั้นผมจะขอ
รีวิวเปรียบเทียบกับ Mercurial SuperFly IV เป็นหลัก โดยเฉพาะฟีลลิ่งและประสิทธิภาพของพื้นรองเท้าที่ใช้งาน
กับพื้นสนามหญ้าเทียมแบบนี้
ความสบายในการสวมใส่
เรามาเริ่มการทดสอบรองเท้าสตรีทฟุตบอลไนกี้ MercurialX Proximo TF กับหัวข้อการวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่อง
ความสบายในการสวมใส่กันก่อนดีกว่าครับ
จากการใช้งานในสนามแข่งขันจริงๆ มาพอสมควร พบว่ารองเท้ารุ่นนี้ให้ความสบายเท้าอารมณ์เดียวกันกับ
Mercurial SuperFly IV แทบจะทุกประการ แอบสบายกว่าเล็กน้อยในช่วงข้างเท้าเสียด้วยซ้ำ แม้ว่ารูปทรง
ของตัวรองเท้าจะเรียวยาวตามแบบฉบับของ Mercurial ก็ตาม แต่วัสดุตัวรองเท้าที่ทำจากด้ายถัก นั้นสามารถ
ยืดขยายออกตามแนวกว้างตามลักษณะการเคลื่อนที่ของเท้าได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว
เช่นเดียวกันกับบริเวณหลังเท้า สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองมีลักษณะหลังเท้าที่อูมขึ้นมา แล้วกังวลว่าหลังเท้า
จะบีบกดจนอึดอัดหรือเปล่า ขอบอกเลยไว่าไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากวัสดุตรงหลังเท้าเป็นวัสดุด้ายถัก
ที่มีความยึดหยุ่นได้มากยิ่งกว่าส่วนของตัวรองเท้าเสียอีก ดังนั้น MercurialX Proximo TF จึงมีพื้นที่หลังเท้า
ที่สวมใส่สบาย ด้ายถักรัดกระชับกับหลังเท้าได้กำลังดี ไม่มีความรู้สึกอึดอัดแม้จะดึงกระชับแนวร้อยเชือกให้
แน่นหนาก็ตาม
ถัดมาที่บริเวณหุ้มข้อ พบว่าหุ้มข้อของ MercurialX Proximo TF นั้นแอบให้ความรู้สึกโล่งสบายมากกว่า
หุ้มข้อของ Mercurial SuperFly IV เล็กน้อย สาเหตุอาจเป็นเพราะการเลือกไซด์รองเท้าที่ใหญ่กว่าครึ่งเบอร์
เพราะแม้ว่าตัวรองเท้าจะอันเดอร์ไซด์ แต่จะอันเดอร์ไซด์ตามความยาวเป็นหลัก ดังนั้นสัดส่วนขนาดของหุ้มข้อ
ของ MercurialX Proximo TF จึงน่าจะใหญ่กว่าเล็กน้อย นั่นเอง
ในขณะที่ความสบายในการระบายความร้อน ยังต้องยอมรับว่ารองเท้ารุ่นนี้ยังระบายความร้อยได้ในระดับ
กลางๆ เท่านั้น สาเหตุเป็นเพราะตัวรองเท้าที่มีการเคลือบผิวด้วยวัสดุอีกชั้นสำหรับกันน้ำ และส่วนหุ้มข้อซึ่ง
รัดกระชับกับข้อเท้า จึงไม่มีช่องให้ความร้อนถูกระบายออกสักเท่าไหร่ เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผมเคยวิจารณ์
การระบายอากาษของ Mercurial SuperFly IV นั่นเอง
สรุปโดยภาพรวมในหัวข้อการทดสอบนี้ พบว่าไนกี้ MercurialX Proximo TF มีตัวรองเท้าที่ให้ความ
สบายเท้าในระดับที่ดีพอสมควร อารมณ์คล้ายกับ Mercurial SuperFly IV แต่มีส่วนหุ้มข้อที่โปร่งโล่งสบาย
กว่าเล็กน้อย ยิ่งตอบโจทย์คนที่มีลักษณะหน้าเท้าบาน ข้อเท้าอวบ หลังเท้าอูมได้มากขึ้น จึงขอให้คะแนน
ในหัวข้อนี้ในระดับ 8 เต็ม 10 คะแนน (ของ Mercurial SuperFly IV คะแนน 7/10)
คะแนน
- ความสบายในการสวมใส่ 8/10
การรองรับแรงกระแทก
มาต่อกันที่การรองรับแรงกระแทกของ MercurialX Proximo TF ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นหัวข้อที่ทุกคนให้
ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะคนที่สนใจรองเท้าประเภท TF แบบนี้ ย่อมต้องคาดหวังว่าจะมาช่วยแก้ปัญหา
เรื่องแรงกระแทกของการใช้ปุ่ม FG กับพื้นสนามหญ้าเทียมให้หมดไป
หลังจากได้ใช้งานรองเท้าสตรีทฟุตบอลพื้น TF รุ่นนี้ กับพื้นสนามหญ้าเทียมที่มีความนุ่มและหญ้ามี
ความยาวปานกลาง พบว่าพื้นรองเท้าและชุดแผ่นรองพื้นด้านในของรองเท้ารุ่นนี้ให้ฟีลลิ่งการลงน้ำหนัก
แบบแน่นๆ เนื่องจากพื้นรองเท้าเป็นวัสดุยางแข็ง ในขณะที่แผ่นรองพื้นด้านในก็เป็นวัสดุบาง ไม่หนามาก
ไม่ได้มีวัสดุ Poron เหมือนกับแผ่นรองพื้นของรองเท้าสตั๊ดระดับท็อปของไนกี้บางรุ่น
แต่นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง เพราะผมกลับพบคำตอบว่าพื้นแบบ TF มีเสน่ห์ตรงที่ช่วยทำแรงกระแทก
จากพื้นสนาม กระจายทั่วทั้งฝ่าเท้าเท่ากันทุกจุด ไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกที่ส่งกลับมาจากปุ่มสตั๊ดแบบเฉพาะจุด
ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับปุ่ม FG ของ Mercurial SuperFly IV จะยิ่งชัดเจนว่าฝ่าเท้านั้นรู้สึกถึงแรงกระแทก ที่ส่ง
ผ่านปุ่มรองเท้าบางปุ่มกลับมาโดยตรง เป็นผลให้จังหวะการลงน้ำหนักหลายๆ ครั้ง เราต้องเกร็งข้อเท้า/หัวเข่า
มากเป็นพิเศษ จึงมีผลต่ออาการบาดเจ็บได้ง่าย
ดังนั้น MercurialX Proximo TF จึงไม่ได้มีพื้นรองเท้าที่หนานุ่มแบบพื้นโฟมหนาๆ ของรองเท้าวิ่ง ชุดพื้น
ยังให้ความรู้สึกที่แข็งและบาง แต่ปัจจัยที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้เหมาะกับผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องการรับแรงกระแทก
ของข้อเท้า/ข้อเข่า และต้องเล่นกับพื้นสนามหญ้าเทียมเป็นประจำได้อย่างตรงจุด คือลักษณะของพื้น TF ซึ่ง
ทำให้แรงกระแทกจากพื้นสนามถูกกระจายทั่วทั้งฝ่าเท้านั่นเอง แม้ว่าตัวเลขคะแนนในหัวข้อการรองรับแรง
กระแทกจะได้ 8 เต็ม 10 คะแนน ก็ตามคะแนน
- การรองรับแรงกระแทก 8/10การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม
ขอเชื่อมโยงการทดสอบประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม ต่อเนื่อง
มาจากหัวข้อก่อนหน้านี้ ที่บอกว่า MercurialX Proximo TF มีชุดพื้นที่ยังให้ฟีลลิ่งการลงน้ำหนักที่หนาๆ แข็งๆ
พอสมควร นั่นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่แผ่นรองพื้นแบบบางๆ ช่วยทำให้ผู้เล่นได้ฟีลลิ่งการเคลื่อนที่แบบเท้าติดพื้นมากที่สุด ซึ่งถือเป็น
ไอเดียสำคัญของรองเท้าฟุตบอลประเภทความเร็วแบบนี้อยู่แล้ว
แต่ในจังหวะการสปรินซ์ด้วยปลายเท้า ยังต้องยอมรับว่า MercurialX Proximo TF นั้นเปรียบเทียบกับ
ประสิทธิภาพการสปรินซ์ของ Mercurial SuperFly IV แล้วยังสู้ไม่ได้ เนื่องจากชุดพื้นมีความสามารถในการ
ให้แรงดีดกลับที่แตกต่างกัน พื้นรองเท้าของ MercurialX Proximo TF เป็นวัสดุยางทั้งชิ้น เมื่อโค้งงอ
จากจังหวะการสปรินซ์แล้ว จะเกิดแรงดีดกลับเพื่อส่งให้เราสปรินซ์ไปด้านหน้าได้น้อยกว่าชุดพื้นคาร์บอน-
ไฟเบอร์ หรือชุดพื้นแบบพลาสติก PU ของรองเท้าสตั๊ดพื้น FG แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความมั่นคงในการ
เคลื่อนที่
นอกจากการเคลื่อนที่ในทางตรงแล้ว ยังต้องบอกว่าชุดพื้นของ MercurialX Proximo TF ก็ยึดเกาะ
พื้นสนามได้ดีในจังหวะที่ต้องเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่แบบฉับพลัน ด้วยความเร็วสูง การสับขาหรอก
หรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่แบบหักมุม อาจจะไม่ได้ฟีลลิ่งปุ่มจิกพื้นสนามแบบปุ่มใบมีด FG ของ
รองเท้าสตั๊ด แต่ชุดพื้นแบบนี้จะเหมาะต่อการเคลื่อนที่แบบ 360 องศารอบตัวได้ดีกว่า นุ่มนวล และ
มั่นคงกว่า ซึ่งดูจะเป็นสไตล์หลักของการเคลื่อนที่ในการเล่นสตรีทฟุตบอลในพื้นสนามหญ้าเทียม
ขนาดเล็ก เช่นนี้
อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจ ก็คือพื้นรองเท้าแบบ TF เมื่อเล่นกับพื้นหญ้าเทียมแล้วจะไม่จังหวะ
"ลื่น" เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งผมตอบสั้นๆ ได้เลยว่า "ไม่ลื่น" แน่นอน ไม่ใช่แค่เฉพาะการเล่นกับพื้นสนามแห้งๆ
เท่านั้น เพราะในช่วงที่ผมทดสอบการใช้งานรองเท้าสตรีทฟุตบอลไนกี้ MercurialX Proximo TF คู่นี้
เล่นในสนามหญ้าเทียมกลางแจ้ง และโชคดีที่มีโอกาสลงเล่นหลังจากพื้นหยุดตก และเล่นไปฝนตกไป
พบว่าไม่มีอากาศลื่นใดๆ เกิดขึ้น พื้นรองเท้ายังสามารถเกาะสนามได้อย่างยอดเยี่ยม และเพียงพอแล้ว
ไม่ได้ลดหย่อนลงไปจากตอนที่สนามแห้งๆ เลยแม้แต่น้อย
สรุปได้เลยว่า MercurialX Proximo TF ยึดเกาะพื้นสนามหญ้าเทียมได้ดี ไม่ใช่เฉพาะพื้นแห้ง แต่ยัง
รวมถึงพื้นเปียกหรือฝนตกด้วย ปุ่มรองเท้าอาจจะไม่ให้อารมณ์จิกลึกลงไปยังพื้นสนาม แต่ก็เพียงพอ
ต่อการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนทิศทางแบบแบบตัว ณ ความเร็วสูง เพียงแต่ฟีลลิ่งแรงดีดกลับของชุดพื้น
รองเท้าในจังหวะการสปรินซ์ด้วยปลายเท้า...จะหายไปบ้าง หัวข้อนี้ผมขอลงคะแนนให้ที่ 8 เต็ม 10
คะแนนนะครับ ยืนยันเลยว่าพื้นรองเท้าไม่ลื่นแน่นอน เกาะสนามดี เล่นสนามแห้งๆ ว่าดีแล้ว พอเจอ
พื้นสนามเปียกน้ำ แล้วยิ่งประทับใจเลย
คะแนน
- การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและการยึดเกาะพื้นสนาม 8/10
ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน
อย่างที่ทราบกันดีกว่า ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นคือการยกเอาตัวรองเท้าและเทคโนโลยีของMercurial SuperFly IV มาแทบทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญคือวัสดุตัวรองเท้า โครงสร้างและหุ้มข้อ ซึ่ง
ทั้งหมดนี้เป็นผลให้รองเท้ารุ่นนี้เป็นรองเท้าประเภทพื้น TF ที่ให้ ฟีลลิ่ง ความกระชับและให้ความมั่นใจ
เมื่อใช้งาน ได้ดีกว่า
แม้การเลือกไซด์รองเท้าใหญ่ขึ้นกว่าปกติครึ่งไซด์ จะมีผลเล็กๆ ต่อหุ้มข้อ ทำให้ช่วงหุ้มข้อรู้สึกสวมใส่
สบายขึ้นก็ตาม แต่พอลงสนามใช้งานจริงๆ ผมยังยืนยันว่าหุ้มข้อของ MercurialX Proximo TF นั้นยัง
"ใช้งานได้จริง" ยังสามารถให้ความกระชับกับข้อเท้าได้อย่างยอดเยี่ยม ให้ความรู้สึกเสมือนว่ารองเท้า
เป็นส่วนหนึ่งกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ ประสิทธิภาพตรงจุดนี้ ใครที่เคยใช้งานรองเท้าฟุตบอลไนกี้แบบที่มี
หุ้มข้อจะเข้าใจเป็นอย่างดี อารมณ์เหมือนข้อเท้าของเราถูกกลืนหายเข้าไปกับตัวรองเท้าเลย
ในขณะที่ฟีลลิ่งความกระชับบริเวณหน้าเท้าและข้างเท้าทั้งสองฝั่ง แน่นอนว่า MercurialX Proximo TF
จะให้ฟีลลิ่งความกระชับบริเวณดังกล่าวได้ไม่แตกต่างจาก Mercurial SuperFly IV เลยแม้แต่นิดเดียว
กล่าวคือ ตัวรองเท้าแม้ว่าจะไม่ได้บีบแน่นมากนัก เนื่องจากวัสดุด้ายถักมีความสามารถขายออกตามรูปเท้า
ได้พอประมาณ แต่ก็เป็นฟีลลิ่งที่ผมถือว่าที่มีความกระชับเข้ารูปเท้าที่ดีมาก แม้ว่าบางจังหวะการเคลื่อนไหว
ของรูปเท้า ตัวรองเท้าจะเกิดรอยยับและไม่แนบสนิทกับรูปเท้าได้ตลอดเวลาก็ตาม คงไม่แปลกอะไรถ้าผมจะสรุปว่า MercurialX Proximo TF นั่นให้ความกระชับกับเท้า และข้อเท้าได้ดี
เป็นอย่างมาก ถือเป็นประสิทธิภาพสำคัญของรองเท้าด้านความเร็วแบบนี้ที่ต้องการความมั่นใจเมื่อใช้งาน
จนต้องลงคะแนนเต็มที่ 10 เต็ม 10 คะแนน เพราะจริงๆ แล้วรองเท้ารุ่นนี้ก็คือ Mercurial SuperFly IV
นั่นแหละนะ...
- ฟีลลิ่ง ความกระชับ ความมั่นใจเมื่อใช้งาน 10/10
การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล
มาทดสอบประสิทธิภาพการในเรื่องการสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล ของ MercurialX Proximo TF กันบ้าง
อย่างที่ได้ Hand On! ไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่ารายละเอียด ลักษณะและวัสดุของรองเท้ารุ่นนี้ ไม่แตกต่างจาก Mercurial
SuperFly IV เลย แต่เมื่อต้องใช้งานจริงๆ แล้ว จะมีความแตกต่างกันหรือไม่ เราไปหาคำตอบกัน
ฟีลลิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรองเท้าฟุตบอลที่ใช้วัสดุด้ายถักแบบนี้ คือฟีลลิ่งการสัมผัสลูกฟุตบอล
ที่บางติดเท้ามากๆ เมื่อต้องสัมผัสบอลด้วยบริเวณหลังเท้าและหน้าเท้า ให้อารมณ์การสัมผัสบอลที่เป็นธรรมชาติ
แต่จะไม่รู้สึกถึงความนุ่มสักเท่าไหร่ ในขณะที่จากควบคุมลูกฟุตบอลนั้นก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นจนเกินไป
เนื่องจากพื้นที่สัมผัสบอลโดยภาพรวมของ MercurialX Proximo TF นั้นมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบเรียบ แต่อาจ
ไม่เปิดกว้างมากนัก ตามลักษณะรูปทรงของตัวรองเท้าที่เรียวยาว หากต้องการจะจับบอลแรกให้นิ่มนวลติดเท้า
จำเป็นต้องอาศัยทักษะการผ่อนแรงในจังหวะจับบอลพอสมควร
ในเรื่องการควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลจากจังหวะการจับบอลแรก พบว่าผิวสัมผัสของตัวรองเท้าถูกเคลือบ
ให้มีความเสียดทาน ดึงดูดกับผิวลูกฟุตบอลได้ดี ควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลในจังหวะการจับบอลแรกได้ง่าย
พอสมควร ลดโอกาสบอลแฉลบหรือปลิ้นออกจากการควบคุมได้ไม่แตกต่างจาก Mercurial SuperFly IV เลยทีเดียว
แต่ที่น่าแปลกใจคือ MercurialX Proximo TF ไม่มีเทคโนโลยี ACC มาให้ แต่เมื่อต้องจับบอลแรกในสนามที่เปียกชื้น
กลับพบว่าหน้าสัมผัสของตัวรองเท้านั้นก็มีประสิทธิภาพในการควบคุมทิศทางลูกฟุตบอลได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างกันเลย
การจับบอลแรกด้วยข้างเท้าด้านใน พบว่ารูปทรงของตัวรองเท้าที่คอตเว้าเข้ามา ทำให้สอดรับกับความกลม
ของลูกฟุตบอล ยิ่งวัสดุตัวรองเท้าซึ่งบางมากๆ แบบนี้ จะทำให้ผู้สวมใส่ใช้ข้างเท้าด้านในในการจับบอลแรกได้
อย่างเต็มสัมผัสมากๆ เพียงแต่ยังต้องใช้ทักษะการผ่อนแรงให้ดีๆ เพื่อให้จับบอลได้อย่างนุ่มนวล
และอีกหนึ่งจุดเด่นของรองเท้าสตรีทฟุตบอลพื้น TF แบบนี้ คือการจับบอลด้วยฝ่าเท้า ซึ่งถือเป็นทักษะการเล่น
ที่สำคัญของสตรีทฟุตบอลสนามเล็กเช่นนี้ จากที่ลองใช้งานพบว่าพื้นรองเท้าที่เรานิยมเรียกกันว่า 100 ปุ่ม ปุ่มยาง
ทั้งหมดมีบทบาทในการช่วยให้จับบอลด้วยฝ่าเท้านั้นติดหนึบ และหยุดอยู่นิ่งได้ดั่งใจ เพราะถ้าหากเป็นรองเท้าปุ่ม
FG จะพบว่าการเปิดฝ่าเท้าเพื่อจับบอลแรกแบบนี้ จะมีโอกาสที่ลูกฟุตบอลกระดอนหลุดออกไปจากการควบคุม
ได้อย่างง่ายดาย
มาต่อกันที่การแปส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านในของ MercurialX Proximo TF พบว่าฟีลลิ่งและประสิทธิภาพ
การแปส่งบอลด้วยรองเท้ารุ่นนี้ ไม่แตกต่างจาก Mercurial SuperFly IV เลยแม้แต่น้อย กล่าวคือพื้นที่สัมผัสบอล
ที่มีลักษณะราบเรียบสม่ำเสมอ ช่วยให้การสัมผัสเข้าถึงลูกฟุตบอลได้ดีและเต็มข้างเท้ามากขึ้น ทำให้การเน้น
แปบอลไปในทิศทางตรงหน้า สามารถทำได้แม่นยำ ในขณะที่การแปบอลแบบเฉือนๆ เพื่อให้เกิดการปั่นไซร้โค้ง
ก็สามารถทำได้ดีพอประมาณ เพียงแต่ด้วยน้ำหนักตัวของ MercurialX Proximo TF ที่มากกว่า จะพบว่ารองเท้า
รุ่นนี้สามารถแปส่งบอลได้รุนแรงและเต็มน้ำหนักมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งถ้าจำเป็นต้องเล่นสตรีทฟุตบอลสนามเล็ก
ที่บางที่ใช้ลูกฟุตบอลประเภทลูกฟุตซอล จะยิ่งเห็นความแตกต่าง ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้พร้อมใช้งานกับลูกฟุตบอลแบบนั้น
ได้ดีกว่าอยู่แล้ว
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่ว่า MercurialX Proximo TF มีน้ำหนักรองเท้าที่มากกว่า Mercurial SuperFly IV เป็นผลให้รองเท้ารุ่นนี้สามารถควบคุมน้ำหนักของลูกฟุตบอลที่แปออกไปจากข้างเท้าด้านในได้ดีกว่า นี่ยังรวมถึง
ข้อดีของพื้น TF ที่ช่วยให้มีอ็อฟชั่นเพิ่มเติมในการจับบอลแรกด้วยฝ่าเท้าได้เป็นอย่างดี ใครที่ถนัดการเล่นสตรีท-
ฟุตบอลสนามเล็ก จะเข้าใจว่าสำคัญต่อการเล่นมากแค่ไหน ส่วนประสิทธิภาพอื่นๆ เช่น ฟีลลิ่งการจับสัมผัสบอล
แรงเสียทานระหว่างผิวหน้าสัมผัสรองเท้ากับผิวของลูกฟุตบอล พบว่าไม่แตกต่างจาก Mercurial SuperFly IV
แต่อย่างใด
คะแนน
- การสัมผัสควบคุม รับและส่งบอล 8/10
การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า
ประสิทธิภาพการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าของรองเท้าสตรีทฟุตบอล ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้น
ทำได้อย่างยอดเยี่ยมดั่งเช่นรองเท้าต้นแบบ จุดเด่นอยู่ที่หน้าสัมผัสของตัวรองเท้าซึ่งสามารถดึงดูดกับผิว
ของลูกฟุตบอลได้เป็นอย่างดี ในขณะที่วัสดุด้ายถักช่วยให้อรรถรสการสัมผัสบอลที่บาง เป็นธรรมชาติ
ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกในการควบคุมหรือเปลี่ยนทิศทางลูกฟุตบอลที่เลี้ยงติดอยู่ที่เท้าได้อย่างรวดเร็วและ
แม่นยำ
ดังนั้นการเปลี่ยนทิศทางของลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้า ไม่ว่าจะจากซ้ายไปขวา หรือจะจากขวาไปซ้าย
ไนกี้ MercurialX Proximo TF นั้นสามารถทำได้อย่างแม่นยำ การเลี้ยงพาบอลผ่านไปในพื้นที่แคบๆ
ทำได้ดั่งใจ เพียงแต่การควบคุมน้ำหนักของการสัมผัสบอลแต่ละก้าว จำเป็นต้องกะเกณฑ์น้ำหนักให้ดี
เนื่องจากหน้าสัมผัสรองเท้าที่บาง นั่นเองไม่ใช่แค่เพียงด้านหน้าตัวรองเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้างเท้าด้านในและข้างเท้าด้านนอก ทุกจุด
สามารถใช้ควบคุมลูกฟุตบอลที่เลี้ยงอยู่ที่เท้าได้ดีไม่แตกต่างกัน ซึ่งจุดนี้ MercurialX Proximo TF
มีดีกว่า Elastico SuperFly (แอบอ้างถึงนิดนึง) ซึ่งรองเท้ารุ่นดังกล่าวจะมีเพียงหน้าสัมผัสบริเวณหัวรองเท้า
เท่านั้นที่ใช้ควบคุมลูกฟุตบอลได้ดี
นอกจากการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าด้วยการสัมผัสที่ตัวรองเท้าแล้ว แน่นอนว่าพื้นรองเท้าแบบ TF เช่นนี้
ต้องสามารถคลึงบอลด้วยฝ่าเท้าได้ด้วย ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นสตรีทฟุตบอลของใครหลายๆ คน จาก
การทดสอบใช้งานพบว่าพื้น TF ของรองเท้ารุ่นนี้สามารถคลึงบอลได้อย่างรวดเร็ว หนึบ และแม่นยำมาก
วัสดุพื้นยางที่ไม่นิ่มจนเกินไป มีผลทำให้ไม่ต้องกดน้ำหนักในจังหวะการคลึงมากจนเกินไป ฝ่าเท้าเราก็
สามารถที่จะคลึงให้ลูกฟุตบอลเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วแล้ว
โดยภาพรวมแล้ว ประสิทธิภาพการเลี้ยงพาบอลไปกับเท้าของ MercurialX Proximo TF นั้น มีจุดเด่น
สมกับที่เป็นซีรี่ย์ของรองเท้าประเภทความเร็ว ตอบโจทย์ผู้เล่นที่ชอบเลี้ยงพาบอลไปในพื้นที่แคบๆ ต้องการ
ความเร็วในการพาบอล และความแม่นยำในการเปลี่ยนทิศทางของลูกฟุตบอล ยิ่งเมื่อผนวกรวมกับอ็อฟชั่น
ของพื้น TF ที่สามารถใช้คลึงบอลได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งทำให้ MercurialX Proximo TF เป็นรองเท้าที่เน้น
การพาบอลไปกับเท้า เพื่อโชว์การหลอกล่อคู่แข่ง อย่างแท้จริง
คะแนน
- การเลี้ยงพาบอลไปกับเท้า 10/10
ความสามารถในการยิงประตู
หลายคนยังกังวลว่าการวางเท้ายิงประตูด้วย MercurialX Proximo TF นั้นอาจจะวางเท้าได้ไม่มั่นคงเหมือนกับ
รองเท้าปุ่ม FG แต่จากการทดสอบประสิทธิภาพการยิงประตูของรองเท้ารุ่นนี้แล้ว พบว่าพื้นรองเท้าสามารถ
เกาะพื้นสนามได้เป็นอย่างดี ไม่รู้สึกลื่น ซึ่งถือว่าเพียงพอที่จะทำให้การวางเท้าหลักทำได้อย่างมั่นคงแล้ว ยิ่งไป
กว่านั้นยังรู้สึกได้ว่าพื้น TF แบบนี้ ยังช่วยให้รู้สึกว่าเท้าหลักลงน้ำหนักได้เต็มฝ่าเท้ามากกว่าปุ่ม FG เสียอีก
น้ำหนักการยิงลูกฟุตบอลด้วยรองเท้ารุ่นนี้ ยังสามารถเรียกใช้งานได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากตัวรองเท้ามีน้ำหนัก
อยู่ในพิกัดหนักกว่า Mercurial SuperFly IV เป็นอย่างมาก ดังนั้นน้ำหนักของการยิงลูกฟุตบอลจะมาจากน้ำหนัก
ของตัวรองเท้าล้วนๆ เรียกได้ว่าถ้าต้องง้างเท้าเต็มแรงบ่อยครั้ง มีเปลืองกำลังขาเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ในขณะที่ฟีลลิ่งการถ่ายทอดแรงเหวี่ยงหรือแรงสปริงของชุดพื้นจะหายไป เนื่องจากวัสดุพื้นรองเท้าที่เป็นยาง
ไม่เกิดแรงสปริงในจังหวะการวางเท้าเหมือนกับพื้นรองเท้าวัสดุพลาสติก ยิ่งถ้าเปลี่ยนเทียบกับพื้นคาร์บอนไฟเบอร์
ของ Mercurial SuperFly IV จะรู้สึกถึงความแตกต่างพอสมควร
ในเรื่องของฟีลลิ่งจังหวะสัมผัสและการควบคุมทิศทางการยิงประตูของรองเท้าสตรีทฟุตบอลรุ่นนี้
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ Mercurial SuperFly IV ทุกประการ กล่าวคือหน้าสัมผัสของวัสดุด้ายถัก
ทำให้เวลาที่ยิงลูกฟุตบอล จะรู้สึกบางและเต็มหน้าเท้า ซึ่งแน่นอนว่าหากต้องยิงลูกฟุตบอลแบบเต็มแรง
บ่อยครั้ง ตัวรองเท้าจะไม่ช่วยปกป้องแรงปะทะจากการยิงลูกฟุตบอลได้สักเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกสะเทือน
เข้ามาถึงเท้าของเราได้แทบจะเต็มแรง
ส่วนประสิทธิภาพของการควบคุมทิศทางการยิงประตู พบว่าไนกี้ MercurialX Proximo TF ควบคุมทิศทาง
ในการยิงไปตรงหน้าด้วยข้างเท้าด้านในได้ง่ายพอสมควร เนื่องจากหน้าสัมผัสบนตัวรองเท้าโดยรวมนั้น
มีลักษณะเป็นพื้นเรียบสม่ำเสมอ แต่อาจจะเปิดกว้างรับองศาในการสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้ไม่กว้างนัก
จึงต้องเน้นวางเท้าและหน้าสัมผัสเข้าปะทะกับลูกฟุตบอลให้แม่นยำ ทิศทางของลูกยิงที่พุ่งออกไปจึงจะ
ตรงไปยังทิศทางที่ต้องการ
ในเรื่องของการปั่นไซร้โค้งแบบเน้นๆ ยังคงไม่ใช่จุดเด่นของรองเท้ารุ่นนี้โดยตรง เพียงแต่หน้าสัมผัส
ของตัวรองเท้ายังพอที่จะมีแรงเสียดทานกับผิวของลูกฟุตบอล และส่งแรงเฉือนให้ลูกฟุตบอลมีอาการ
ปั่นไซร้โค้งได้บ้าง พอประมาณ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อตำหนิติติงอะไร เนื่องจากเป็นไปตามแบบฉบับของ
Mercurial SuperFly IV เป๊ะๆ นั่นแหละ
โดยภาพรวมแล้ว การยิงประตูด้วยรองเท้าสตรีทฟุตบอล ไนกี้ MercurialX Proximo TF มีข้อดีตรงที่
พื้นรองเท้าราบเรียบ ทำให้การลงน้ำหนักของเท้าหลักทำได้อย่างมั่นคง ง่ายดาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก
ว่าจะต้องเปิดฝ่าเท้าเพื่อเอาปุ่มไหนลงพื้นก่อน และพื้นรองเท้าก็สามารถเกาะพื้นสนามได้เป็นอย่างดี
ไม่มีการลื่นไถล เพียงแต่น้ำหนักการยิงลูกฟุตบอลจะมาจากน้ำหนักของตัวรองเท้าเป็นหลัก หากต้อง
ง้างเท้ายิงบ่อยๆ จะรู้สึกล้าได้ง่ายๆ เหมือนกัน ส่วนประสิทธิภาพการควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลนั้น
เหมือนกันกับ Mercurial SuperFly IV ทุกประการ
คะแนน
- ประสิทธิภาพในการยิงประตู 8/10
การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่
คุณสมบัติเชิงรับอย่างเรื่องการป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ของ MercurialX Proximo TF กลับพบว่าตัวรองเท้า
ช่วยดูดซับแรงปะทะที่หน้าเท้าได้ดีขึ้น เนื่องจากด้านในตัวรองเท้าที่ติดกับเท้าของเรา มีวัสดุบุนุ่มเพิ่มขึ้น
มาอีกชั้นนึง แม้จะเป็นวัสดุบางๆ แต่ก็ดีกว่าเป็นวัสดุด้ายถักล้วนๆ เหมือน Mercurial SuperFly IV เมื่อต้อง
ถูกเข้าปะทะบนตัวรองเท้า โดยเฉพาะจังหวะการถูกย่ำใส่ พบว่าเจ็บน้อยกว่านิดนึง นอกจากนี้ยังพบว่าหุ้มข้อ มีส่วนต่อการช่วยปกป้องข้อเท้าให้กับผู้สวมใส่ ป้องกันหรือลดอาการบาดเจ็บ
ของจังหวะข้อเท้าพลิกได้ดีกว่ารองเท้าที่ไม่มีหุ้มข้อ แต่ไม่รวมถึงการถูกเข้าปะทะโดยตรงจากคู่แข่งนะครับ
เนื่องจากส่วนหุ้มข้อที่เหนือตาตุ่มขึ้นมา ยังไม่มีวัสดุบุนุ่มที่จะมาช่วยดูดซับแรงปะทะลงไป
เมื่อเทียบกับ Mercurial SuperFly IV อย่างที่บอกครับว่า MercurialX Proximo TF มีวัสดุบุนุ่มที่ชั้นในสุด
ของตัวรองเท้า ซึ่งดีต่อการปกป้องหน้าเท้าจากแรงปะทะ แม้จะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย ซึ่งจุดนี้เป็นปัจจัย
ที่ผมขอเพิ่มคะแนนในหัวข้อนี้ให้เป็น 7 เต็ม 10 คะแนน ( Mercurial SuperFly IV คะแนน 6/10)
คะแนน
- การป้องกันเท้าให้กับผู้สวมใส่ 7/10
Conclusion
ผ่านพ้นกันไปกับบททดสอบการใช้งานจริงในสนามหญ้าเทียมของ ไนกี้ MercurialX Proximo TF ตาม
หัวข้อทดสอบต่างๆ ทีนี้มาถึงส่วนของสรุปส่งท้าย เพื่อจะสรุปรวมยอดถึงประสิทธิภาพของรองเท้าสตรีทฟุตบอล
สำหรับพื้นหญ้าเทียมรุ่นนี้ และจะมีข้อคิดเห็นส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เป็นข้อมูลสำหรับคุณผู้อ่านทุกท่าน
ที่ให้ความสนใจรองเท้ารุ่นนี้ เอาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกได้เลย
ทั้งนี้ผมขออนุญาติแจ้งก่อนครับว่า ผมจะจัดจำแนก MercurialX Proximo TF เป็นรองเท้าด้านความเร็ว
ตามชื่อของ Mercurial นั่นเอง เพื่อให้เข้าใจตรงกันก่อนที่จะลงคำแนนในหัวข้อสรุปคุณสมบัติของรองเท้า
รุ่นนี้
ไนกี้ MercurialX Proximo TF
ผมเป็นคนนึงเล่นฟุตบอลสนามหญ้าเทียมเป็นประจำ โดยเฉพาะสนามขนาดเล็ก ทั้งขนาด 5-side game
และ 7-side game รวมถึงเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพเข่าพอประมาณ เคยมองหารองเท้าฟุตบอลพื้น TF
มาใช้งาน แต่ก็ไม่ประทับใจ เนื่องจากที่ผ่านๆ มา แบรนด์แต่ละแบรนด์มักจะเอาแต่รองเท้าสตั๊ดระดับล่าง
มาเปลี่ยนเป็นพื้นยาง 100 ปุ่ม TF ในขณะที่ผมเองก็อยากใช้งานรองเท้าฟุตบอลระดับท็อป สุดท้ายก็ต้อง
เน้นใช้งานแต่รองเท้าสตั๊ดแบบ FG มาโดยตลอด
แต่เมื่อไนกี้เปิดตัวรองเท้าสตรีทฟุตบอลซีรี่ย์ Football X มาสู่ตลาด และผมมีโอกาสได้ทดสอบการใช้งาน
MercurialX Proximo TF ตามบทความนี้ บอกสั้นๆ เลยว่า "โครตประทับใจ" รองเท้ารุ่นนี้ลบภาพความ
ทรงจำและประสบการณ์ที่ที่เคยลองใช้รองเท้า TF รุ่นล่างๆ ที่มีทั้งเรื่องรองเท้าหนักจนวิ่งไม่ไป พื้นลื่น
ไม่เกาะพื้น หรือหนักสังเคราะห์ระดับทั่วไปแข็งๆ ที่สัมผัสบอลไม่ได้เรื่อง ภาพเหล่านี้ถูกลบออกไปจน
หมดสิ้น
คำนิยามสั้นๆ ที่ผมอยากอธิบายให้กับ MercurialX Proximo TF คือ "Mercurial SuperFly IV ที่เปลี่ยน
แค่พื้นมาเป็นพื้น TF" รองเท้ารุ่นนี้เหมาะสมกับผู้เล่นที่ต้องการตัวรองเท้าที่มากด้วยเทคโนโลยี วัสดุ
และความโดดเด่น มีรูปแบบการเล่นที่เน้นการครองบอล เลี้ยงพาบอลไปกับเท้าได้ดี โดยเฉพาะใครที่
ถนัดการคลึงบอลด้วยฝ่าเท้าตามสไตล์การเล่นสตรีทฟุตบอล เคยชินกับการใช้งานรองเท้าพื้นเรียบมาก่อน
แต่ต้องมาเล่นสนามหญ้าเทียมแบบนี้ ครั้นจะให้เปลี่ยนไปใช้รองเท้าปุ่ม FG ก็จะเสียทักษะการคลึงบอลที่
รวดเร็ว บอกเลยว่าไนกี้ MercurialX Proximo TF จะมาตอบโจทย์และเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวได้อย่าง
เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ใครที่คิดว่า MercurialX Proximo TF จะเหมือนกับ Mercurial SuperFly IV ทุกประการ
นั้นอาจจะคิดเห็นไปบ้าง ข้อแตกต่างสำหรับคือรองเท้าสตรีทฟุตบอลที่เราทดสอบกันนี้ มีน้ำหนักตัวรองเท้า
สูงพอสมควร มันไม่ใช่รองเท้าที่วิ่งตัวปลิว ไม่ใช่รองเท้าที่สปรินซ์ไปด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีปุ่ม
ใบมีดคมๆ ที่จะจิกลงไปยังพื้นสนาม ช่วยให้ความมั่นยำในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ หรือสับขาหลอกล่อ
คู่แข่ง หากคุณผู้อ่านยอมรับจุดนี้ได้ และตอบตัวเองได้ว่าคุณมีสไตล์การเล่นสตรีทฟุตบอลตามข้อสรุปข้างต้น
แสดงรองเท้ารุ่นนี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้แล้วล่ะ
และถ้าหากมองว่า ไนกี้ MercurialX Proximo TF เป็นรองเท้าประเภทความเร็วล่ะก็ ผมยังมองว่ารองเท้ารุ่นนี้
มีข้อจำกัดที่น้ำหนักรองเท้าที่หนักพอสมควร หนักถึงระดับ 270 กรัม/ข้าง แบบนี้ ซึ่งหนักว่ารองเท้าประเภท
คอนโทรลหลายๆ รุ่นเสียด้วยซ้ำ รวมถึงข้อจำกัดของพื้นแบบ TF ซึ่งไม่มีฟีลลิ่งปุ่มจิกพื้นสนามในจังหวะ
การสปรินซ์ออกตัว หรือสับขาหลอก แต่คุณสมบัติเกี่ยวกับการสัมผัสบอล การพาบอลไปกับเท้า และหุ้มข้อ
ที่เสริมประสิทธิภาพเกี่ยวกับความกระชับและความมั่นใจตอนใช้งาน ไนกี้ได้จัดมาให้ในรองเท้ารุ่นนี้อย่าง
เต็มที่
- คุณสมบัติการเป็นรองเท้าประเภทความเร็ว 8/10
ความคุ้มค่าราคา/ความน่าใช้
มาปิดท้ายกันที่ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องความคุ้มค่าราคา/ความน่าใช้ ของไนกี้ MercurialX Proximo TF รองเท้าสตรีทฟุตบอลระดับโครตท็อป กันดีกว่าครับ จริงๆ แล้วผมอยากจะสรุปสั้นๆ ว่า รองเท้ารุ่นนี้
มีความคุ้มค่าน่าใช้เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือ Mercurial SuperFly IV ที่ถอดชุดพื้นและปุ่ม FG ออก
แล้วแทนที่ด้วยพื้นยาง 100 ปุ่มแบบ TF มาในราคาที่ถูกกันกว่าครึ่งหนึ่งแบบนี้ แถมพรั่งพร้อมด้วย
เทคโนโลยีขั้นสูงแบบจัดเต็ม หมดยุคที่รองเท้า TF ต้องทำมาจากเป็นรองเท้าสตั๊ดรุ่นบ๊วยทั่วไปแบบ
เมื่อก่อนแล้ว
ในเรื่องของความทนทาน ทั้งวัสดุหน้าผ้าด้ายถักและความคงทนของหุ้มข้อ คงไมเป็นที่น่าสงสัยอีกต่อไป
ในเมื่อ Mercurial SuperFly IV สามารถพิสูจน์บททดสอบดังกล่าวมาได้ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ทำตลาด
แทบจะไม่มีปัญหารองเท้าขาด หุ้มข้อย้วย ฯลฯ ออกมาให้ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งความมั่นใจ
ได้ว่า MercurialX Proximo TF ก็จะมีความแข็งแรงทนทานเช่นกัน
ถ้ามองในแง่ของคนที่อยากสัมผัสเทคโนโลยี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ อยากใช้รองเท้าฟุตบอลระดับโครตท็อป
แต่ด้วยเหตุผลทางร่ายการ หรือสไตล์การเล่นที่ต้องการรองเท้าพื้น TF โดยตรง ไม่ถนัดปุ่มแบบ FG
แต่ที่ผ่านๆ มาต้องไปใช้งานรองเท้าปุ่ม FG เพียงเพราะต้องการอยากจะใช้งานรองเท้าฟุตบอลรุ่นท็อปๆ
ในเมื่อวันนี้ไนกี้พร้อมตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวด้วย MercurialX Proximo TF รองเท้าสตรีทฟุตบอล
สายพันธุ์ความเร็วสำหรับพื้นหญ้าเทียมโดยเฉพาะแบบนี้ บอกตรงๆ ว่าชุดพื้นคาร์บอนไฟเบอร์ และปุ่ม FG
ของ Mercurial SuperFly IV ที่หายไป ในราคารองเท้าที่เหลือเพียง 5,900 บาท เป็นความคุ้มค่าราคา
ที่มาพร้อมกับความน่าใช้สุดๆ แล้วล่ะ
- ความคุ้มค่า 10/10
ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับรีวิวทดสอบการใช้งานรองเท้าสตรีทฟุตบอล ไนกี้ MercurialX Proximo TF ซึ่งผมหวังว่าทุกข้อมูล ทุกบทวิจารณ์จากการรีวิว คงจะทำให้คุณผู้อ่านทุกท่านที่กำลังจดๆ จ้องๆ รองเท้าสำหรับ
พื้นหญ้าเทียม ได้คำตอบแล้วว่ารองเท้ารุ่นนี้ สามารถตอบโจทย์ได้ตรงตามต้องการ ถูกต้องตามลักษณะการใช้งาน
และสไตล์การเล่นฟุตบอลของท่านมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งผมเองจะขอเน้นย้ำเช่นเคยว่า ทุกตัวอักษรที่พิมพ์ลงไปนั้นได้มาจากความรู้สึกที่สัมผัสได้จากการใช้งานรองเท้า
รุ่นนี้จริงๆ แล้วเอามารีวิวแบบตรงไปตรงมาที่สุด รู้สึกยังไง ดีไม่ดียังไง ก็เขียนไปแบบนั้น เพียงเพื่อต้องการ
ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่าน ในการตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าฟุตบอลที่ตรงใจ เพื่อเราจะได้มาเล่นฟุตบอล
กีฬาที่เราๆ ท่านๆ รักได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
สุดท้ายนี้...หากคุณผู้อ่านตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการจะเป็นเจ้าของรองเท้าสตรีทฟุตบอลระดับโครตท็อป
สายความเร็ว ไนกี้ MercurialX Proximo TF คู่นี้ ท่านสามารถไปซื้อหาเป็นเจ้าของรองเท้ารุ่นนี้ ได้ที่ร้านไนกี้
สาขาสยามพารากอน, เทอร์มินอล 2 , ร้านซูเปอร์สปอร์ต สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าและลาดพร้าว, ร้านนกแก้ว,
ร้านอาริ ฟุตบอลคอนเซปต์ สโตร์ และ ร้านเอฟบีที ในราคา 5,900 บาท โดยท่านยังสามารถตามข้อมูลเพิ่มเติม
ได้ที่ facebook.com\nikefootballTH อีกด้วย - IC (Indoor)
คือรองเท้าฟุตซอล มีลักษณะเป็นพื้นเรียบไม่มีปุ่ม ใช้สำหรับสนามฟุตซอล คอนกรีตเรียบ
พื้นปาเก้ พื้นยาง รองเท้าฟุตซอล พื้นรองเท้าทำจากยาง มีลักษณะเรียบระนาบ ไม่มีปุ่ม สามารถใช้ได้ทั้งออกกำลังกายและประกอบกิจกรรมเอนกประสงค์วัตถุประสงค์หลัก : ใช้เพื่อลงเล่นบนสนามที่มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีหินหรือหญ้าปกคลุมเช่น สนามฟุตซอล คอนกรีต/ปูน พื้นปาเก้ และ สนามบาสไนกี้ เผยโฉม “อีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซี” สุดยอดนวัตกรรมรองเท้าสตรีทฟุตบอล
ปฏิวัติความเร็ว
ไนกี้ เผยโฉม “อีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซี”
สุดยอดนวัตกรรมรองเท้าสตรีทฟุตบอลปฏิวัติความเร็ว(กรุงเทพฯ – 9 มิถุนายน 2557) ไนกี้ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กีฬาระดับโลกและผลิตภัณฑ์กีฬาฟุตบอล
เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมรองเท้าสตรีทฟุตบอลรุ่นใหม่ล่าสุด “อีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซี” ที่ถูกต่อยอด
การพัฒนามาจากรองเท้าฟุตบอลรุ่นเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลาย เพื่อมอบความรวดเร็วในการเล่นให้แก่นักเตะ
โดยเฉพาะ
หลังจากที่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ ห้องซาลอง เดอ เรโน่ (Salon de Reinos ) กรุงมาดริด ประเทศสเปน
ไนกี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการฟุตบอลด้วยการเปิดตัวรองเท้าเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลาย สุดยอดรองเท้า
ฟุตบอลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความล้ำสมัยและช่วยเพิ่มความเร็วให้แก่นักเตะ แต่อย่างไรก็ตามด้วยเงื่อนไขของนักฟุตบอล
ในยุคปัจจุบันที่ไม่ได้จำกัดการเล่นฟุตบอลอยู่แต่บนพื้นสนามหญ้าอีกต่อไป ทำให้ไนกี้ได้นำนวัตกรรมขั้นสูงจาก
รองเท้าฟุตบอลรุ่นเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลายมาพัฒนาสู่รองเท้าสตรีทฟุตบอลรุ่นอีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซี
(Elastico Superfly IC) เพื่อยกระดับการเล่นฟุตซอลขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เดนิส เดโควิช ผู้อำนวยการด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ของไนกี้กล่าวว่า “ในปีนี้ ไนกี้ฟุตบอลได้นำเสนอ
นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอย่างมากมายแบบที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามนักฟุตบอลหลายคน
ก็ยังต้องการนวัตกรรมใหม่ๆสำหรับการเล่นฟุตบอลในทุกๆสภาพสนาม ดังนั้นเราจึงได้นำแนวคิดการออกแบบ
ของรองเท้ารุ่นเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลายที่มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาร่วมพัฒนากับรองเท้าฟุตซอลรุ่นอีลาสติโก้
ซุเปอร์ฟลาย”
ทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ของไนกี้ได้นำคุณสมบัติอันโดดเด่นของปุ่มรองเท้าจากเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลาย
มาผสานเข้ากับรายละเอียดหรือคุณสมบัติอื่นๆ สำหรับการเล่นฟุตซอล โดยพวกเขาได้ทำงานร่วมกับมาเรียน
โดเออร์ตี้ อดีตนักฟุตบอลหญิงทีมพอร์ทแลนด์ ธอร์นส ที่เคยเล่นอยู่ในฟุตบอลลีกหญิงแห่งชาติของสหรัฐฯ
โดเฮอร์ตี้ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการด้านผลิตภัณฑ์ของไนกี้ได้กล่าวเสริมว่า “บริเวณด้านหน้า
รองเท้ารุ่นนี้เกือบจะเหมือนกับรองเท้ารุ่นเมอร์คิวเรียล ซุเปอร์ฟลายที่เราพัฒนาร่วมกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่เราได้ปรับปรุงบางจุดของรองเท้าตามที่ผู้เล่นฟุตซอลให้ความเห็นกับเราหรือปรับปรุงตามข้อสังเกตที่เห็น
จากเกมฟุตซอล”
“รองเท้ารุ่นนี้มีลักษณะที่ลาดต่ำ ทำให้เท้าอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมากกว่ารองเท้าตระกูลอีลาสติโก้รุ่นก่อนหน้า
ซึ่งส่งผลให้การยึดเกาะและความเร็วของผู้สวมใส่เพิ่มขึ้น รวมถึงยังช่วยในการบังคับบอลได้ดีอีกด้วย การยึด
เกาะที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นผลจากการใช้ยางสังเคราะห์แบบใหม่สำหรับพื้นรองเท้า รวมไปถึงรูปแบบพื้นรองเท้า
ลายใหม่ที่มีระยะห่างระหว่างเท้ากับพื้นที่ลดลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกราวกับ
กำลังเล่นบอลด้วยเท้าเปล่าอีกด้วย” ผู้อำนวยการด้านผลิตภัณฑ์ของไนกี้กล่าวเพิ่มเติม
ด้านเดนิส เดโควิช ผู้อำนวยการด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ของไนกี้กล่าวปิดท้ายว่า “เราต้องการนำเสนอ
รองเท้ารุ่นใหม่นี้ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศบราซิล เพราะบราซิลเป็นประเทศต้นกำเนิดของสตรีท
ฟุตบอล ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่ารองเท้ารุ่นใหม่ของเรานี้เสมือนเป็นการคาราวะให้กับประเทศที่สรรสร้างสไตล์
การเล่นใหม่ๆให้กับกีฬาฟุตบอล”
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ใหม่แล้ว รองเท้ารุ่นอีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซี ยังมีการเสริมชั้นหนังไนกี้สกิน
ตรงบริเวณที่มีการเสียดสีเท้าเพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับรองเท้าฟุตซอลรุ่นอีลาสติโก้ ซุเปอร์ฟลาย ไอซีจะวางจำหน่าย
ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในราคา 6,300 บาท ที่ร้านอาริ ฟุตบอล คอนเซปต์สโตร์ หรือติดตามข้อมูล
เพิ่มเติมได้ที่ facebook.com\nikefootballTH
ไม่ทราบว่าได้ขออนุญาต นำเนื้อหา รูปภาพ และบทความ จาก www.siamboots.com ก่อนจะนำลงมาลงหรือยังครับ
ตอบลบ