วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Magista Opus

ATTACK /  เป็นรองเท้าฟุตบอลที่เน้นการโจมตี เหมาะสำหรับกองหน้าหรือเพลย์เมคเกอร์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม
ความคล่องแคล่ว การเคลื่อนที่ ถือว่าเป็นรองเท้าที่มีอาวุธครบเครื่องที่เหมาะกับการเล่นเกมส์รุก
นักเตะที่ใช้ :: Neymar, Rooney, Lawandowski, Isco, Sturridge เป็นต้น  
   ไม่รู้ว่ารองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus จะเกิดอาการน้อยใจไปบ้างหรือเปล่า  เพราะไนกี้เน้นโปรโมท
รองเท้าระดับโครตท็อปอย่าง Magista Obra ที่ใช้วัสดุฟลายนิตเป็นหลัก  จนอาจทำให้หลายคนลืมนึกถึงรองเท้า
รุ่นท็อปปกติรุ่นนี้ไปแล้ว  แต่วันนี้ SiamBoots ขอสวนกระแสด้วยการพารองเท้ารุ่นดังกล่าว  มาเปิดฝากล่อง
แนะนำตัวและสำรวจส่วนต่างๆ ของรองเท้ารุ่นนี้อย่างละเอียด  เพราะในฐานะรองเท้าระดับนี้...ยังไงก็ต้อง
อัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีและลูกเล่นอย่างเต็มที่แน่นอน

   
   ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "Magista" รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ใหม่ล่าสุดจากไนกี้อย่างแน่นอน  เพราะนอกเหนือ
จากตัวรองเท้าที่ผลิกโฉมนวัตกรรมรองเท้าฟุตบอลแล้ว  ไนกี้ยังทุ่มทุนจัดกิจกรรมเพราะโปรโมทรองเท้ารุ่นนี้
อย่างหนักหน่วง  รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ Magista ถูกเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2014 ที่ผ่านมา ภายใต้นิยามสั้นๆ ว่า 
"Create Attack"
 โดยมีมัสคอตประจำซี่รี่ยเป็น "แมงมุม" เพื่อสื่อถึงรองเท้ารุ่น Magista Obra ที่นำเอาเทค-
โนโลยีวัสดุฟลายนิต มาถักทอเป็นตัวรองเท้านั่นเอง

   แต่นั่นก็เป็นรองเท้าระดับโครตท็อปหรือฟลายนิต  โดยถ้ามองในไลน์การผลิตของรองเท้าระดับท็อปปกติแล้ว  
รองเท้าซี่รี่ย์นี้ยังมี Magista Opus เป็นพระเอกในการทำตลาด  แม้จะไม่ออกสื่อฯ มากนัก  แต่รองเท้ารุ่นนี้
ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีของหลายๆ คน อย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว มันคือเจเนอเรชั่นต่อเนื่อง
ของรองเท้ารุ่น CTR 360 Maestri III ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยอดเยี่ยมและได้รับความนิยมมาโดยตลอด
ดังนั้น..เชื่อว่า ไนกี้ ไม่ยอมให้รองเท้า Magista Opus "น้อยกว่า" รองเท้าสายพันธุ์เก่งรอบด้านอย่างแน่นอน

   บทความนี้..แม้จะยังไม่ได้สวมใส่ทดสอบลงใช้งานในสนามแข่งขัน  แต่ผมจะขอเอากล่องรองเท้าสีส้มของไนกี้
ที่ป้ายด้านข้างระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น Magista Opus มาเปิดฝากล่อง  พร้อมทำการ "Hand On!" สิ่งที่อยู่ข้างใน
ให้ทุกท่านได้รับชมกัน  มาดูกันซิว่าไนกี้ใส่อะไรมาให้ภายในกล่องใบนี้บ้าง  และตัวรองเท้ารุ่นนี้  มีรายละเอียด
ส่วนต่างๆ มีเทคโนโลยีและมีลูกเล่นอะไรมาให้บ้าง  

   ผมจะเปิดฝากล่องแล้วนะ...

   
   ภายในกล่องเราจะพบเจอตัวรองเท้าฟุตบอล รุ่น Magista Opus ที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีขาว  วางมาในทิศทาง
แบบสลับหัวท้ายกัน  เพื่อให้ประหยัดพื้นที่  เป็นไปตามปกติการบรรจุหีบห่อของรองเท้าฟุตบอล

   
   ด้านในหัวรองเท้ามีดันทรงกระดาษอัด ที่เป็นทรงแข็ง ใส่มาให้ในตัวรองเท้าเพื่อรักษารูปทรง  สำหรับรองเท้า
รุ่นนี้/สีนี้  ไนกี้ใช้ประเทศเวียดนาม (Made in Vietnam) เป็นฐานการผลิต  และเพื่อให้สมฐานะรองเท้าฟุตบอล
ระดับท็อปคลาสของไนกี้ แน่นอนว่า  ด้านในจะมีถุงสะพายสำหรับใส่รองเท้า  ดีไซน์เข้าธีมและเข้าสีเฉพาะของ
รองเท้าซีรี่ย์ Magista สีเขียวมะนาว  สีนี้เท่านั้น

   เพียงแต่ดีไซน์การออกแบบดูจะเป็นดีไซน์เรียบๆ  น่าเสียดายที่ไม่มีกราฟฟิกคำว่า MAGISTA พิมพ์เอาไว้
ให้โดดเด่นเลย  แตกต่างจากถุงสะพายของ CTR 360 ที่ตรงกลางพิมพ์เอาไว้ด้วยตัวอักษารขนาดใหญ่ชัดเจน

   
   หลายคนอาจจะสนใจกับรายละเอียดบนตัวรองเท้า Magista Opus เป็นหลัก  ว่ามันแตกต่างจาก CTR 360
Maestri III
 อย่างไรบ้าง  แต่ก่อนที่จะไปสำรวจเรื่องนั้น  ผมจะขอพามาวัดน้ำหนักตัวของรองเท้ารุ่นนี้กันก่อน  
เพราะครั้งแรกที่ผมหยิบเอารองเท้าข้างนึงมาถือเอาไว้  รู้สึกได้ทันทีเลยว่ารองเท้ารุ่นนี้ "เบามาก" คำว่าเบามาก
ในทีนี้คือ  เบากว่าคาดคิดเอาไว้  และเพื่อเทียบกันเฉพาะรองเท้าประเภทเดียวกัน หรืออาจจะรวมไปถึง ไนกี้ 
Tiempo Legend V ที่ไนกี้ทำตลาดควบคู่กันในฐานะรองเท้าประเภทคอนโทรล

   ตัวเลขน้ำหนักของ Magista Opus (ไซด์ 9.5 US , 8.5 UK , 43 Fr และ 27.5 cm) อยู่ที่ 204 กรัม/ข้าง เมื่อ
มองดูข้อมูลน้ำหนักรองเท้าฟุตบอลรุ่น/ยี่ห้อ อื่นๆ เป็นดังนี้

   - ไนกี้ Tiempo Legend V 245 กรัม 
   - ไนกี้ Hypervenom Phantom 200 กรัม  
   - ไนกี้ Mercurial Vapor IX 192 กรัม 
   - ไนกี้ CTR 360 Maestri III 240 กรัม
   - อาดิดาส Predator® Instinct 285 กรัม 
   - อาดิดาส adiPure 11Pro II 274 กรัม
   - พูม่า King 2013 252 กรัม

   จากตัวเลขที่ปรากฏออกมา จะเห็นได้ว่า Magista Opus เบาขึ้นกว่า CTR 360 Maestri III เกือบ 40 กรัม/ข้าง
เลยทีเดียว  และแทบจะใกล้เคียงกับ Hypervenom Phantom ซึ่งเป็นรองเท้าประเภทจู่โจม  เน้นความคล่องตัว
ส่วนคู่แข่งในตลาดโดยตรงอย่าง อาดิดาส Predator® Instinct ก็มีน้ำหนักมากกว่าถึง 81 กรัม !!!  กลายเป็นว่า
เทรนด์ของไนกี้ คือสร้างรองเท้าสายคอนโทรลของตัวเองให้เบาขึ้นดั่งที่เห็น  ตรงกันข้ามกับคู่แข่งจากอาดิดาส
ที่เพิ่มน้ำหนักตัวขึ้น 

   
   รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Magista Opus มีวัสดุหลักของตัวรองเท้าผลิตมาจากหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์
(Kanga-Lite) 
แบบชิ้นเดียวกันทั้งข้าง  มีรองเย็บประสานอยู่ด้านหลัง ตรงส้นเท้าเท่านั้น  โดยหนังสังเคราะห์
ชนิดนี้เป็นหนังสังเคราะห์  ที่ทีมพัฒนารองเท้าฟุตบองของไนกี้ได้ออกแบบมา  โดยนำเอาข้อดีของหนังสังเคราะห์
และข้อดีของหนังจิงโจ้มารวมกัน  

   กล่าวคือ..หนังชนิดนี้จะมีน้ำหนักเบา  สามารถรีดให้บางเพื่อสร้างฟีลลิ่งการสัมผัสบอลเหมือนใช้เท้าเปล่า
หน้าสัมผัสมีแรงเสียดทาน  หนังมีความนุ่มใส่สบาย  ทนทานและไม่อมน้ำ  ซึ่งหนังแคงกาไลท์ได้เป็นที่รู้จัก
และยอมรับจากบรรดาคนเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เจเนอเรชั่น CTR 360 Maestri I แล้ว  จึงสามารถการรันตีได้ถึง
ศักยภาพของหนังสังเคราะห์ชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี

   นอกจากรายละเอียดด้านนอกตัวรองเท้าแล้ว  ยังพบว่าหน้าสัมผัสด้านในของตัวรองเท้าที่จะคอยห่อหุ้มเท้า
ของผู้สวมใส่  จะเป็นวัสดุหน้าผ้านิ่มๆ  ที่มีวัสดุบุนุ่มบางๆ บุเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย  ซึ่งวัสดุลักษณะนี้  ดูเหมือน
จะสามารถยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดี  จึงให้สัมผัสที่แนบติดเท้า  ช่วยให้ฟีลลิ่งเหมือนตัวรองเท้า
เป็นส่วนหนึ่งของเท้าได้มากเป็นพิเศษ  และยังพอจะช่วยเพิ่มความนุ่มตอนที่สัมผัสลูกบอล..อีกเล็กน้อย 

   
    
   ส่วนที่เห็นเป็นพื้นผิวรูปทรงหกเหลี่ยมทางสูงแบบในภาพด้านบน ถูกเรียกว่า Microfiber Mesh เป็นลูกเล่น
ที่ไนกี้ออกแบบมาเพื่อให้ตัวรองเท้ามีพื้นผิวสัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รอบตัว  ผิวสัมผัสอาจจะไม่ถูกเคลือบให้มี
ความเหนียวด้วยสารเคลือบผิว  แต่พื้นผิวที่เป็นมิติ สูงต่ำ ที่ชัดเจนแบบนี้จะช่วยทำให้มันสามารถสร้างแรง
เสียดทานกับผิวของลูกฟุตบอล  เพื่อให้สามารถสัมผัสและควบคุมลูกฟุตบอลได้อย่างรอบด้าน สมกับการเป็น
รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์คอนโทรลที่สมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม

   ทั้งนี้..ไนกี้ยังระบุข้อมูลออกมาว่า ได้เสริมเทคโนโลยีที่เรียกว่า ไนกี้สกิน (Nike Skin) ซึ่งมีความหนาเพียง
1 มิลลิเมตร แทรกตัวเอาไว้ด้วย  เพื่อช่วยเพิ่มความสบายในการสวมใส่ ความกระชับและป้องกันการซึมผ่าน
ของน้ำ ผ่านทางช่องวางระหว่างเส้นใย Microfiber Mesh

   หน้าสัมผัสทุกส่วนของตัวรองเท้า  ยังมีเทคโนโลยี All Conditions Control  (ACC) ซึ่งเป็นการเคลือบสาร
ชนิดพิเศษเอาไว้  ช่วยลดการจับตัวของหยดน้ำ  ทำให้การควบคุมลูกฟุตบอลที่ดีในทุกสภาพสนาม  ซึ่งเทคโนโลยี
ดังกล่าว  ถูกจำกัดเฉพาะรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสของไนกี้ ขึ้นไป เท่านั้น

   
    
   ด้านข้างของไนกี้ Magista Opus เป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์ ชิ้นเดียวกันกับด้านหน้า  และมีพื้นผิว
สัมผัสบอลแบบ 3 มิติ รูปทรง 6 เหลี่ยมสูง เรียงตัวตัวต่อเนื่องกันมาอย่างเป็นระเบียบ  แต่ลักษณะตัวรองเท้า
ของฝั่งข้างเท้าด้านใน จะมีความโค้งเว้าเข้ามาเล็กน้อย  เพื่อให้ลงตัวกับการสัมผัสลูกฟุตบอลและสร้างความ
กระชับใหกับข้างเท้าด้านในไปพร้อมๆ กัน 

   อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่านั้น ก็คือการเล่นสีของส่วนที่เป็นพื้นผิวสัมผัสบอลรูปทรงหกเหลี่ยม  และสีพื้น
ของตราไนกี้ที่แตกต่างกัน  ดังนั้นเมื่อมองในมุมมองด้านข้าง  ก็จะเห็นเหมือนว่ารองเท้า 2 ข้าง เป็นคนละสี
ก็เป็นอีกหนึ่งดีไซน์การออกแบบที่สร้างความแตกต่าง  สุดแล้วแต่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ  ซึ่งลูกเล่นแบบนี้
คาดว่าจะมีเฉพาะรองเท้าบางเฉดสีเท่านั้น 
   
   
   ลักษณะแนวร้อยเชือกของรองเท้ารุ่นนี้  ไม่เป็นเส้นตรง  โดยด้านล่างสุดจะเอียงเข้าไปยังข้างเท้าด้านใน
มากกว่าปกติเล็กน้อย  เพื่อเปิดพื้นที่สัมผัสบอลบริเวณหัวรองเท้าทางฝั่งข้างเท้าด้านใน (นิ้วก้อย)  เพื่อเปิด
พื้นที่สำหรับการจับบอลแรกด้วยข้างเท้าด้านนอก  และในทางตรงกันข้าม แนวร้อยเชือกจะช่วยสร้างความ
กระชับให้กับข้างเท้าด้านในได้มากขึ้นอีกนิด  ซึ่งลักษณะแนวร้อยเชือกแบบนี้ถือเอกลักษณ์ต่อเนื่องมาจาก
ซีรี่ย์เก่า (CTR 360)

   เชือกรองเท้าที่ร้อยติดตัวรองเท้ามาจากประเทศเวียดนาม  เป็นเชือกรองเท้าแบบเส้นแบน หน้ากว้าง  เมื่อร้อย
เชือกผ่านรูปครบถ้วนสมบูรณ์  จะสามารถจัดเรียงการวางตัวของเส้นเชือกได้ง่าย  จึงช่วยลดโอกาสการรบกวน
การสัมผัสบอลบริเวณหลังเท้าลงได้เป็นอย่างดี  ในขณะที่เนื้อผ้าของเส้นเชือกมีความนิ่มพอสมควร  เพียงแต่
เมื่อผูกปมเชือกรองเท้าแล้ว ผมยังรู้สึกเหมือนว่าปมเชือกยังจับกันไม่แน่นสนิทมากนัก  เวลาเล่นอาจเกิดการ
คลายตัวได้บ้าง  ต้องคอยดูกันดีๆ

   
   ลิ้นรองเท้าของ Magista Opus เป็นลิ้นแบบสั้น  ทำจากวัสดุหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์เหมือนกับตัวรองเท้า
โดยช่วงกลางของลิ้น มีวัสดุบุนุ่มบรรจุเอาไว้  เพื่อให้ผู้เล่นสามารถสัมผัสบอลด้วยหลังเท้าได้อย่างนุ่มนวล
มีรูระบายอากาศเพื่อช่วยให้การยุบตัวรับแรงกระแทกของส่วนที่มีวัสดุบุนุ่ม  มีความยืดหยุ่นมากขึ้น  เพราะอากาศ
จะสามารถเข้าไปแทนที่ได้เมื่อไม่ได้สัมผัสบอล  และเมื่อสัมผัสบอล..อากาศจะมีช่องให้ระบายออกมา นั่นเอง

   รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งของลิ้นรองเท้า นอกเหนือจากกราฟฟิกสัญลักษณ์ ACC ด้านบนกับตราไนกี้แบบเอียงๆ 
และสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว  ยังพบว่าด้านข้างลิ้นรองเท้า เฉพาะฝั่งข้างเท้าด้านใน  มันได้ถูกเย็บติดกับตัวรองเท้า
ด้วยวัสดุผ้ายืด  เพื่อเป็นการยึดตรึ่งไม่ให้ลิ้นรองเท้าขยับเอียงออกไปได้มากนัก  ส่วนฝั่งข้างเท้าด้านนอกจะมี
ป้ายบอกไซด์รองเท้าเย็บเอาไว้  ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาตอนสวมใส่รองเท้าพอสมควร  เราต้องมาคอยจับคอยขยับ
ป้ายบอกไซด์ไม่ให้มันพับหรือย่น  ไม่งั้นมันจะสร้างความสำราญให้กับหลังเท้าเรา  เรื่องนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไม
ไนกี้ไม่แปะป้ายบอกไซด์เอาไว้ที่ใต้ลิ้นรองเท้า หรือติดกับตัวรองเท้าด้านในไปเลย !?

   
   ไนกี้เลือกใช้ เกราะป้องกันกระแทกส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายแบบภายนอก (External Heel Counter) ให้กับ 
Magista Opus (ตอน CTR 360 Maestri III เป็นเกราะภายใน) โดยออกแบบให้ส่วนของพื้นรองเท้า ที่เป็นวัสดุ
พลาสติก Pebax ได้ถูกฉีดขึ้นรูปให้โค้งขึ้นมาปกป้องบริเวณส้นเท้าของข้างเท้าทั้งสองฝั่ง ปกปิดขึ้นมาถึงกึ่งหนึ่ง
ของข้อเท้าเลยทีเดียว  ชิ้นพลาสติกมีความหนาและแข็งแรง  จึงน่าจะช่วยลดแรงปะทะที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ
ได้เป็นอย่างดี  และยังช่วยล็อคข้อเท้าได้อย่างแน่นหนาอีกด้วย

   โดยเกราะป้องกันแรงกระแทนชิ้นนี้จะเว้าตัวลงที่ด้านท้ายของส้นเท้า  เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับความสบายบริเวณ
ส้นเท้าด้านหลังและเอ็นร้อยหวาย  ไม่ให้ชนกับหน้าสัมผัสแข็งๆ ของเกราะส้น  และสามารถใส่วัสดุบุนุ่มที่หุ้มส้น
ด้านในได้นั่นเอง

   
   หุ้มส้นด้านในของ Magista Opus ก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากรองเท้าต้นตำรับสายคอนโทรลรุ่นก่อนอย่างชัดเจน
โดยไนกี้ใช้หันมาใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ที่ผิวหน้าถูกทำลายปุเป็นจุดเล็กๆ ช่วยเสริมให้ดูดีกว่าหน้าสัมผัสแบบ
ผิวเรียบๆ  อย่างไรก็ตาม..พื้นผิวสัมผัสทั้งหมดไม่มีส่วนที่ช่วยสร้างแรงดึงดูดกับส้นเท้ามากนัก  สัมผัสด้วยนิ้วมือ
แล้วไม่ค่อยยึดเกาะ ออกแนวรู้สึกลื่นๆ เรียบๆ เสียด้วยซ้ำ

   ด้านในของหุ้มส้นจะมีวัสดุบุนุ่มบุเอาไว้  ค่อนข้างจะเต็มพื้นที่  ไม่ว่าจะเป็นด้านท้ายส้นเท้า หรือข้างเท้าทั้ง
สองฝั่ง เพื่อเป็นตัวช่วยสร้างความสบาย ลดโอกาสเสียดสีกับเกราะป้องกันแรงกระแทก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ
ของอาการรองเท้ากัด  และยังช่วยสร้างความกระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี อีกด้วย

   นอกจากนั้นจะเห็นลักษณะการออกแบบของปลายหุ้มส้นด้านหลัง  ว่าเป็นเป็นหุ้มส้นแบบเปิดกว้าง  รองรับ
กับแนวเอ็ยร้อยหวายของคนที่ข้อเท้าใหญ่ๆ ได้ดี  คนละเรื่องกับปลายหุ้มส้นของ ไนกี้ Tiempo Legend V 
ที่บีบแคบเข้ามากว่านี้ จนสร้างความอึดอัดให้กับแนวเอ็นร้อยหวายเป็นอย่างมาก 

   
   แผ่นรองพื้นด้านในของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus ดูไกลๆ จะคล้ายเดียวกับแผ่นรองพื้นของไนกี้ 
Tiempo Legend V
 เลยก็ว่าได้  แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันพอสมควร  เริ่มจากสิ่งที่เหมือนกันก่อนก็คือลักษณะ
แผ่นโฟมที่ถูกเจาะให้มีรูเล็กๆ ตลอดทั่วทั้งแผ่น  โดยใช้โฟม EVA ที่มีเนื้อโฟมแน่น และมีความหนาเท่ากัน
ตลอดทั้งแผ่นมาอัดขึ้นรูป  และยังใช้เนื้อโฟมสีเหลืองสด เหมือนกันอีกต่างหาก  

   อย่างไรก็ตาม..แผ่นรองพื้นของ Magista Opus นั้นดูจะมีทรวดทรงองเอวที่คอดเว้ามากเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะ
ช่วงกลางจะเห็นได้ชัดเจน  แสดงให้เห็นว่าชุดพื้นของรองเท้ารุ่นนี้มีลักษณะแคบเข้ามาพอสมควร

   
   หน้าสัมผัสด้านบนของแผ่นรองพื้นชุดนี้  เป็นหน้าผ้าไนล่อน  แม้จะไม่มีการเคลือบผิวให้หนึบเหมือนกับ
แผ่นรองพื้นรองเท้ารุ่นเก่าๆ ของไนกี้  แต่หน้าสัมผัสสีชมพูของ Magista Opus ที่เห็นจากภาพด้านบนนั้น
ก็ให้สัมผัสความฝืดพอสมควร  เนื่องจากหน้าสัมผัสมีชั้นหน้าผ้าที่หนา และเนื้อผ้ามีลักษณะเป็นขุยๆ มาก
กว่าเพื่อน (จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบกับแผ่นรองพื้นของ Mercurial Vapor IX)

    
   ส่วนด้านใต้ของแผ่นรองพื้น ไม่มีโฟม Poron เสริมมาเพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกจากพื้นสนาม เหมือนกับ
Tiempo Legend V  โดยเป็นเนื้อโฟม EVA แบบเพียวๆ ที่มีจุดนูนออกมาเพื่อช่วยยึดกับชุดพื้นรองเท้าเอาไว้
ทำให้แผ่นรองพื้นมีความมั่นคง 
    
   
   เรามาปิดท้ายกันที่การสำรวจชุดพื้นช่วงล่างและปุ่มรองเท้าแบบ FG ของรองเท้าฟุตบอล ไนกี้ Magista Opus 
กันเหมือนเดิม  ซึ่งไนกี้ได้เสริมเทคโนโลยีทางวัสดุมาให้กับรองเท้ารุ่นระดับท็อปคลาสรุ่นนี้อย่างสมศักดิ์ศรี
โดยไนกี้เลือกใช้วัสดุพลาสติก Pebax ซึ่งเป็นพลาสติกทางวิศวกรรม ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง เหนียว และมี
น้ำหนักเบา  มาฉีดขึ้นรูปเป็นชุดพื้นแบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด  โดยผสมผสานการออกแบบให้ชุดพื้นเป็นแบบใส
ซึ่งดูดีกว่าวัสดุสีทึบ

   
   และเมื่อเปรียบเทียบกับซีรี่ย์เก่าอย่าง CTR 360 Maestri III แล้ว จะเห็นได้ว่า Magista Opus ได้ถูกออกแบบ
ชุดปุ่มแบบ FG ใหม่ทั้งหมด จนไม่เหลือเคล้าโครงเดิมแม้แต่นิด  โดยปุ่มของรองเท้าด้านหน้า มีทั้งหมด 11 ปุ่ม
แบ่งออกเป็นปุ่มตามแนวขอบรองเท้า ทั้งขอบด้านในและด้านนอก ด้านละ 4 ปุ่ม วางเรียงตัวกันแบบจับคู่

   ลักษณะปุ่มทั้ง 8 ปุ่ม เป็นปุ่มทรงกรวย มีฐานปุ่มกว้างกว่าปลายปุ่มเล็กน้อย  ซึ่งไนกี้มั่นใจว่าปุ่มลักษณะนี้จะช่วย
ทำให้ Magista Opus สามารถจิกเกาะพื้นสนามได้เป็นอย่างดี  และยังทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเปลี่ยนทิศทาง
ของการเคลื่อนที่แบบรอบตัว 360 องศา  โดยมีฐานปุ่มที่มีขนาดกว้างคอยช่วยสร้างความมั่นคงเวลาที่ต้องลง
น้ำหนักตัวมากๆ ในจังหวะการหมุนตัว นั่นเอง

   นอกเหนือจากการยึดเกาะและการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่แสนจะอิสระแล้ว  ไนกี้ยังยังนิยมใช้ปุ่มตรงกลาง
ฝ่าเท้า อีก 3 ปุ่ม  เป็นปุ่มแนวขวาง  วางเรียงตัวกันมาตั้งแต่บริเวณหัวรองเท้า  เพื่อทำหน้าที่เกาะพื้นสนามและ
สร้างแรงสปรินซ์ในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า  ในกรณีที่ผู้เล่นต้องการความเร็วทางตรง  รายละเอียดตรงจุดนี้
แทบจะเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้าฟุตบอลจากไนกี้ ยุคปัจจุบัน..ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


   
   โครงสร้างช่วงกลาง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างชุดพื้นด้านหน้าและด้านหลัง ถูกเชื่อมกันด้วยโครงสร้างแบบใหม่
ที่ไนกี้เอามาใช้กับรองเท้าทุกซีรี่ย์ของตัวเองในปัจจุบัน  โดยข้อดีของการขึ้นโครงสร้างตรงกลางให้มีหน้าตา
แบบนี้มีด้วยกันหลายประการ  ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการส่งแรงดีดกลับเวลาที่ชุดพื้นโค้งงอ  อันเกิดในขณะที่
ผู้เล่นสปรินซ์เคลื่อนที่ด้วยปลายเท้า  เพื่อช่วยเสริมแรงดีดในการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า  และโครงสร้างแบบนี้ยัง
ป้องกันการบิดตัวของชุดพื้นเวลาที่ผู้เล่นสไลด์ตัวออกไปด้านข้าง  ลดการเสียจังหวะหรือการพลิกตัวของรองเท้า
ลงได้

   
   ปุ่มด้านหลังมีจำนวน 4 ปุ่ม เป็นปุ่มกลมรูปทรงกรวยเหมือนกัน แต่จะมีลักษณะยาวกว่าปุ่มด้านหน้าเล็กน้อย  
และฐานปุ่มจะใหญ่หว่า  เพื่อทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักตัวของผู้สวมใส่เอาไว้  และจะเห็นได้ว่าด้านล่างของ
ฐานปุ่ม จะมีโครงสร้างเชื่อมต่อมาจากปุ่มด้านหน้าและช่วงกลางรองเท้า  เพื่อทำให้ชุดพื้นและปุ่มของรองเท้า
มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด  ช่วยสร้างความมั่นคงและประสิทธิภาพของการสปรินซ์ออกตัว ให้ไป
ในทิศทางเดียวกัน 

   ผู้ซื้อยังสามารถไว้ใจถึงความแข็งแรงทนทานของปุ่มรองเท้าทั้ง 15 ปุ่ม ของ Magista Opus ได้อย่างแน่นอน
เพราะไนกี้ใช้เทคนิคการฉีดพลาสติก Pebax ฐานปุ่มและชุดพื้นเป็นชิ้นเดียวกัน  ก่อนที่จะฉีดครอบเป็นปลายปุ่ม
รองเท้าอีกหนึ่งชั้น  แม้ว่าพื้นที่หน้าตัดของปุ่มทุกปุ่มจะดูเล็กก็ตาม

   
   ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านสามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า Magista Opus ยังคงมีเทคโนโลยี วัสดุและลูกเล่น สมกับ
การเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาสในตลาดเหมือนเดิม  แต่ว่าไนกี่้จะเน้นโปรโมทรุ่นโครตท็อปที่มีวัสดุ
ฟลายนิตก็ตาม  แต่ข้อดีก็คือ "ความแตกต่าง" ของรองเท้าทั้งสองรุ่น  ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมี Magista Obra
ในครอบครองแล้ว  แต่ผมก็ยังยืนยันว่า Magista Opus นั้นสามารถให้ประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างออกไป  
มันไม่เหมือนรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์อื่นๆ ที่รองเท้าต่ำกว่าจะถูกตัดลดทอนอ๊อฟชั่น  ลงมาจากที่มีในรองเท้าระดับ
ที่สูงกว่า  เพราะรองเท้าทั้งสองรุ่นในซีรี่ย์ใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาบนความแตกต่างกันคนละขั้วเลยก็ว่าได้

   ผมเชื่อว่า Magista Opus สามารถที่จะจำกัดความด้วยสโลแกน "Create Attack" ได้เช่นกัน  โดยประสิทธิภาพ
การใช้งานเชิงลึก รีวิวเจาะกันแบบละเอียดตามมาตรฐานของผม  จะตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน  อยากให้
คุณผู้อ่านทุกท่านอดใจรอคอยกันสักนิด  แล้วเราจะมาหาคำตอบกันว่ารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปคลาส ของซีรี่ย์
ใหม่จากไนกี้ จะมีดีมากน้อยแค่ไหน !? ต้องรอติดตาม

   
   แต่สำหรับคุณผู้อ่านท่านใด ที่ไม่อยากรอ  ตัดสินใจพร้อมที่จะจับจองเป็นเจ้าของเจ้า Magista Opus เลย
วันนี้ไนกี้วางจำหน่ายรองเท้ารุ่นนี้ ในราคา 6,900 บาท ที่ร้านไกี้ สาขาสยามพารากอน,  เทอร์มินอล  21,
ร้านซูเปอร์สปอร์ต สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าและลาดพร้าว,   ร้านนกแก้ว ,ร้านอาริ ฟุตบอลคอนเซปต์ สโตร์ 
และ ร้านเอฟบีที หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com\nikefootballTH  

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ทราบว่าได้ขออนุญาต นำเนื้อหา รูปภาพ และบทความ จาก www.siamboots.com ก่อนจะนำลงมาลงหรือยังครับ

    ตอบลบ